ธรรมศึกษา
การปฏิบัติพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน
ศรัทธา ปฏิบัติ ศึกษา กับการปฏิบัติเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น
ศรัทธา ปฏิบัติ ศึกษา
ศรัทธา หมายถึง การเชื่อต่อพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน
วันนี้เรามาศึกษาคำว่า ปฏิบัติ และศึกษา
ปฏิบัติ
คำว่า ปฏิบัติ หรือ การปฏิบัติ หมายถึง วิธีการดึงเอา “พลัง” ในชีวิตเราให้ปรากฎออกมา
ซึ่งในพุทธธรรมสอนว่า ในชีวิตแต่ละชีวิตมี ธรรมะ หรือ มีพลังอันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตที่มีอยู่ภายในชีวิตเรา และก็เราสามารถนำพลังดังกล่าวนี้ออกมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงความทุกข์ให้เป็นความสุขได้
ตัวอย่างเช่น มนุษย์เราทุกคนนั้นมีศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเองที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เช่น ทุกคนสามารถเล่นเปียโนให้ไพเราะได้ ซึ่งสิ่งนี้ที่ซ่อนเร้นอยู่ในชีวิตของเรา แต่สิ่งที่จะทำให้สามารถเล่นได้ไพเราะ อยู่ที่การปฏิบัติในการฝึกซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างถูกต้อง
ในการบำเพ็ญเพียรพุทธมรรคเช่นกัน เรามีสภาพชีวิตพุทธซ่อนอยู่ในตัวเรา การที่จะให้สภาพชีวิตพุทธของเราปรากฎออกมาได้ ก็ด้วยการปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง นี่คือความหมายของการปฏิบัตินั่นเอง
พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวว่า “หากพวกเรามีการปฏิบัติสวดมนต์เช้าเย็นและไดโมขุแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการลงมือกระทำเพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาล หรือพัฒนาปรับปรุงชีวิตของเราแล้ว อานุกาพของโงะฮนซนก็ไม่สามารถปรากฎออกมาได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม หากพวกเราลงมือกระทำเพื่อการบรรลุการเผยแผ่ธรรมไพศาลแล้ว การกระทำดังกล่าวก็จะกลายเป็นแรงผลักดันที่พิเศษต่อชีวิตของเราเอง และช่วยให้สามารถยกระดับสภาพชีวิตของเราให้สูงได้”
ทั้งหมดนี้อยู่ที่การลงมือกระทำ อยู่ที่ก้าวแรกของเรา ถ้าหากเราต้องการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว แต่เรานิ่งอยู่เฉย ๆ เราก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จ หรือไปถึงจุดหมายปลายทางของเราได้ ฉะนั้นเราต้องลงมือกระทำ หรือลงมือปฏิบัตินั่นเอง
การปฏิบัติเพื่อตนเองและการปฏิบัติเพื่อผู้อื่น
การปฏิบัติมี 2 ด้าน คือ การปฏิบัติเพื่อตนเอง และการปฏิบัติเพื่อผู้อื่น ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว การปฏิบัติบำเพ็ญเพียรจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เปรียบเสมือนล้อ 2 ข้างของรถจักรยานนั่นเอง ถ้าขาดไปล้อใดล้อหนึ่งแล้ว รถก็ไม่สามารถขับไปได้
คำว่า การปฏิบัติเพื่อตนเอง คือ การที่ตัวเราปฏิบัติในการบำเพ็ญเพียร เพื่อที่จะให้ตัวเราได้รับผลบุญ คือ การสวดมนต์เช้าเย็นด้วยความเชื่อมั่นต่อโงะฮนซน
ส่วนคำว่า การปฏิบัติเพื่อผู้อื่น คือการปฏิบัติโดยสอนพุทธธรรมเพื่อให้ผู้อื่นได้รับผลบุญนั่นเอง ด้วยการแนะนำธรรม และสอนให้ผู้อื่นรู้ถึงบุญกุศลของโงะฮนซน
พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวว่า “เมื่อเข้าสู่สมัยธรรมปลายแล้ว ไดโมขุที่อาตมานิชิเร็นสวดในขณะนี้ต่างจากยุคสมัยก่อน เป็นนัมเมียวโฮเร็งเงเคียวที่มีพร้อมทั้งการปฏิบัติเพื่อตนเองและการปฏิบัติเพื่อผู้อื่น” และท่านกล่าวว่า “ตัวเองจงสวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว และชักชวนผู้อื่นด้วยเท่านั้น ที่จะเป็นความทรงจำของมนุษย์ในชาตินี้”
พระนิชิเร็นไดโชนินยังกล่าวอีกว่า “อาตมานิชิเร็นผู้เดียวที่เริ่มสวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว แต่จะต้องติดตามสวดมนต์เพิ่มขึ้นเป็น 2 คน 3 คน 100 คนต่อไป ดังนั้น หัวใจของไดโมขุก็คือ เป็นการสวดเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น”
อาจารย์อิเคดะกล่าวว่า “เมื่อเราสวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว” ด้วยจิตใจแห่งความศรัทธา บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตของเมียวโฮเร็งเงเคียวก็จะแสดงปรากฎออกมาในชีวิตของเรา นี่คือความหมายของการนำสภาพชีวิตของโลกพุทธะให้แสดงปรากฎออกมานั่นเอง
- 3 -
ศึกษา
คำว่า ศึกษา คือ การยึดถือ การศึกษา คำสอนในธรรมนิพนธ์ รวมถึงคำชี้นำ และบทความต่าง ๆ โดยการอ่านธรรมนิพนธ์ที่พระนิชิเร็นไดโชนินได้เขียนไว้ ซึ่งถ้าเราศึกษาธรรมนิพนธ์แล้ว เราจะเข้าใจ และมีความศรัทธามากขึ้น และยังทำให้เรามีการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย ถ้าหากไม่มีการศึกษาค้นคว้าหลักพุทธธรรมที่ถูกต้องแล้ว ก็ทำให้เราตกอยู่ในลักษณะที่ยึดติดความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ หรืออาจจะหลงเชื่อคำสอนที่ผิด ๆ ได้ง่าย
อาจารย์โทดะสอนว่า “เวลาที่เราอ่านธรรมนิพนธ์ ขอให้พวกเราเกิดแรงบันดาลใจจากข้อความใดข้อความหนึ่งของธรรมนิพนธ์ แล้วให้สลักถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในจิตใจ และสวดไดโมขุ และนำข้อความนั้นมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ พร้อมกับต่อสู้กับปัญหาของชีวิต และความยากลำบากต่าง ๆ นี่คือแก่นแท้ของการศึกษาพุทธธรรม”
ขอให้พวกเราพยายามอ่านธรรมนิพนธ์ของพระนิชิเร็นไดโชนินเป็นประจำ ถึงแม้จะเป็นการอ่านเพียงประโยคเดียว หรือเป็นเพียงข้อความสั้น ๆ ก็ตาม การเปิดหนังสือธรรมนิพนธ์ ก็คือจุดเริ่มต้น ไม่ว่าเราจะอ่านมากหรือน้อยขนาดไหนก็ตาม ขอให้เริ่มต้นอ่านธรรมนิพนธ์ และแม้ข้อความธรรมนิพนธ์ที่เราอ่านนั้นไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญอยู่ที่มีความปรารถนาที่จะอ่านธรรมนิพนธ์ของพระนิชิเร็นไดโชนิน นั้นเราก็สามารถจารึกชีวิตจิตใจของพระนิชิเร็นไว้ในชีวิตของเราแล้ว ทุกอย่างที่เราอ่านก็สามารถซึมเข้าไปอยู่ในชีวิตของเรา
ตราบใดที่เรายังศึกษาธรรมนิพนธ์ และนำคำสอนมาปฏิบัติแล้ว พวกเราจะไม่พบกับทางตันอย่างเด็ดขาด การศึกษาจะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้เราเรียนครบทั้ง 3 ข้อ คือ ศรัทธา ปฏิบัติ และศึกษา ซึ่งอาจารย์อิเคดะได้เปรียบเทียบทั้ง 3 ข้อนี้กับการใช้ รถยนต์ ดังนี้
1. ความศรัทธา เปรียบเสมือน เครื่องยนต์
2. การปฏิบัติ เปรียบเสมือน ล้อ
3. การศึกษา เปรียบเหมือน พวงมาลัย
- 4 -
ความศรัทธาเป็นสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นสิ่งที่อยู่ภายใน เช่น เครื่องยนต์อยู่ภายในตัวถังรถยนต์ และมองไม่เห็น แต่เครื่องยนต์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นสิ่งที่ทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนไปได้ หากเครื่องยนต์ชำรุด รถยนต์ก็ไม่สามารถแล่นต่อไปได้ แม้เครื่องยนต์จะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด แต่ไม่มีล้อ หรือล้อชำรุด รถยนต์ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ และพวงมาลัย มีหน้าที่ใช้บังคับรถยนต์ให้แล่นไปตามทิศทางที่ถูกต้อง แม้เครื่องยนต์ และล้อ จะอยู่ในสภาพที่ดีเยี่ยม แต่ไม่มีพวงมาลัย รถยนต์คันนั้นก็ไม่สามารถแล่นไปในทิศทางที่ถูกต้องได้ และยังเป็นอันตรายอีกด้วย
สรุป รถยนต์ต้องมีพร้อมทั้งเครื่องยนต์ ล้อ และพวงมาลัย จึงจะสามารถใช้ประโยชน์ได้
ทำนองเดียวกัน การปฏิบัติพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนินต้องมีพร้อมทั้ง 3 ข้อ อาจารย์อิเคดะกล่าวว่า หลัก 3 ประการเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะ “ความศรัทธา” คือ สิ่งที่ก่อให้เกิดการปฏิบัติ และการศึกษาคือสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังการปฏิบัติ ดังนั้น เราจึงต้องมีการปฏิบัติที่สอดคล้องกับความศรัทธา พร้อมทั้งมีการศึกษาที่ไม่ก่อให้เกิดข้อจำกัดในการปฏิบัติ
พระนิชิเร็นไดโชนินได้กล่าวว่า “จงเชื่อต่อโงะฮนซนที่เป็นอันดับหนึ่งของโลก จงตั้งใจให้มากยิ่งขึ้น และยึดถือความศรัทธาที่เข้มแข็ง เพื่อให้ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากพระศากยมุนีพุทธะ พระประภูตรัตนพุทธ และพระพุทธะที่เป็นกายแยกทั้ง 10 ทิศ จงทุ่มเทให้กับการปฏิบัติบำเพ็ญเพียรในสองวิถีทางแห่งการปฏิบัติ และศึกษา หากปราศจากการปฏิบัติและการศึกษา พุทธธรรมก็จะมีอยู่ไม่ได้ ตัวเองลงมือปฏิบัติ พร้อมกับสอนและนำทางแก่ผู้คน การปฏิบัติก็ดี การศึกษาก็ดี จะเกิดขึ้นจากความศรัทธา ถ้ามีพลัง จงพูดคุยแม้เพียงหนึ่งประโยค หรือหนึ่งวลี”
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ยอดเยี่ยมครับ
ตอบลบ