วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

ตุ๊กตาน่ารัก..!!!!!!..

ประวัติพุทธศาสนา

ประวัติพุทธศาสนา
พุทธศาสนามีมานานกว่า 3,000 ปี พระศากยมุนีทรงละทิ้งความสุขสบายต่าง ๆ เพื่อเสาะหาวิธีที่จะแก้ไขความทุกข์ยกของประชาชน และได้ค้นพบคำสอนสูงสุดที่เรียกว่า สัทธรรมปุณฑริกสูตร แต่ประชาชนสมัยนั้นยังไม่สามารถเข้าใจต่อคำสอนที่ท่านเทศนา ท่านจึงได้เปลี่ยนแนวทางการสอนโดยกุศโลบาย คือ ศีลธรรมที่เราเรียนในสมัยเด็ก สอนเรื่องศีล ทางพุทธศาสนาเรียกว่า พุทธศาสนาฝ่ายหินยาน มีความหมายว่า ยานลำเล็ก ที่สามารถช่วยเหลือเพียงชนกลุ่มน้อยเท่านั้น จนช่วง 8 ปีหลัง ก่อนที่ท่านจะเสด็จปรินิพพาน จึงได้สอนคำสอน ฝ่ายมหายาน คือ สัทธรรมปุณฑริกสูตร 28 บท และได้พยากรณ์ไว้ว่า จะมีศาสดาองค์อนึ่งปรากฏออกมาและจะเผยแผ่สัทธรรมปุณฑริกสูตรในสมัยธรรมปลาย
สัทธรรมปุณฑริกสูตร
สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นคำสอนที่พระศากยมุนีพุทธเทศนาสั่งสอนต่อประชาชน 2 เรื่อง คือ
1. สอนว่าชีวิตของเรานั้นมีอยู่ตลอดกาล
2. สอนว่ามนุษย์ทุกคนมีสภาวะพุทธ(ชีวิตพุทธ) ที่สูงส่งอยู่ในชีวิตของทุกคน ภายหลังจากท่านปรินิพพานแล้ว พุทธศาสนาได้เผยแผ่ออกนอกประเทศอินเดีย โดยแยกออกเป็น 2 เส้นทาง
• คำสอนฝ่ายหินยานเผยแผ่ไปทางตอนใต้ เข้าสู่ประเทศไทย พม่า กัมพูชา และศรีลังกา
• คำสอนมหายาน ได้เข้าสู่ทางตอนเหนือ ได้แก่ประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น
พระเทียนไท้
หลังจากที่พระศากยมุนีพุทธได้ปรินิพพานไป 1,000 ปี คำสอนฝ่ายมหายานเข้าสู่ประเทศจีน พระเทียนไท้เข้าใจในหลักปรัชญาธรรมที่สูงส่งของสัทธรรมปุณฑริกสูตร ได้นำมาเขียนเป็นทฤษฎีธรรม เรียกว่า “หนึ่งขณะจิตสามพัน” เป็นการอธิบายถึงความลึกซึ่งของชีวิตว่า เป็นตัวตนที่เคลื่อนไหวได้ สามารถพัฒนาให้มั่นคงได้ และเปลี่ยนแปลงได้ทุกชั่วขณะ สิ่งสำคัญที่พระเทียนไท้ได้กล่าวถึงอยู่ในทฤษฎีธรรมนี้ก็คือ ธรรมชาติพุทธมีอยู่แล้วในชีวิตทุกคนเราเพียงแต่อาศัยปัจจัยสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตพุทธของเราปรากฏออกมา แม้ว่าพระเทียนไท้จะรู้ว่าปัจจัยสิ่งนี้คืออะไร แต่ก็มิได้เปิดเผย เพราะท่านรู้ดีว่า ขณะนั้นยังไม่ใช่แวลาที่เหมาะสม และคำสอนที่ถูกต้องนี้จะปรากฏและเผยแผ่ในช่วงสมัยธรรมปลาย

พระเด็งเงียว
หลังจากการดับขันธ์ของพระเทียนไท้ มีพระสงฆ์จากประเทศญี่ปุ่นหลายท่านเดินทางไปประเทศจีน เพื่อนำเอาคำสอนกลับไปเผยแผ่ที่ประเทศของตน พระเด็งเงียวเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งที่เดินทางไปศึกษาสัทธรรมปุณฑริกสูตร และนำกลับไปเผยแผ่ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ปรัชญาธรรมที่ท่านสอนนั้นลึกซึ่งเกินกว่าที่จะเข้าใจ และยังต้องใช้เวลายาวนานในการบำเพ็ญเพียร คำสอนจึงถูกจำกัดอยู่ในวงแคบมีเพียงชนชั้นสูงที่มีความรู้เท่านั้น

พระนิชิเร็นไดโชนิน
พระนิชิเร็นไดโชนิน เกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1222 หมู่บ้านประมงเล็ก ๆ เดิมชื่อ เซ็นนิชิมาโร ศึกษาอยู่วัดคิโยสุมิ หลังออกบวชใช้ชื่อว่า เร็นโช ช่วงเวลานั้นประเทศญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาวะกลียุค ประชาชนได้รับความทุกข์จากสงคราม เกิดภัยพิบัติธรรมชาติที่ร้ายแรง เกิดโรคระบาด และได้รับความอดอยาก ทำให้คนเกือบครึ่งประเทศถูกทำลายไปสิ้น ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามการพยากรณ์ไว้ในสัทธรรมปุณฑริกสูตรว่า จะเกิดภัยสามวิบัติเจ็ดขึ้นอย่างแน่นอนในสมัยธรรมปลาย และสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้คือ ศาสนาเองยังต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนให้บังเกิดความหวังได้ในชาตินี้ เช่น นิกายสุขาวดี พวกเขากลับชี้ชวนประชาชนว่าจะมีความสุขได้ต่อเมื่อเสียชีวิตไป ซึ่งทำให้ทุกคนยิ่งรู้สึกว่าชีวิตนั้นได้สูญสิ้นความหวังไปหมดแล้ว พระนิชิเร็นไดโชนินรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมชีวิตประชาชนจึงมีแต่ความทุกข์สาหัสมากมายเช่นนี้ ทำไมคำสอนพระพุทธศาสนาจึงไม่สามารถช่วยประชาชนให้พ้นทุกข์และช่วยโลกให้พ้นจากความวิบัติได้ ทำให้ท่านเริ่มต้นศึกษาค้นคว้าพระสูตรทั้งหมด เพื่อหาคำตอบ และสามารถรู้แจ้งว่า นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว คือ เอกธรรมที่สูงสุดที่มีพลังต่อการช่วยเหลือประชาชนในสมัยธรรมปลายได้ พระนิชิเร็นไดโชนินจึงได้ประกาศคำสอนในวันที่ 28 เมษายน บนเชิงเขาคาซางะโมริ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น นิชิเร็น แปลว่า สุริยประทุม และเริ่มเผยแผ่คำสอนโดยการสอนให้สวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว จากนั้นท่านได้เตือนรัฐบาลว่า การเชื่อถือต่อคำสอนที่ผิดจะทำให้ประเทศชาติล่มจม และได้ยื่นบทความเรื่อง การก่อตั้งคำสอนที่ถูกต้องเพื่อให้ประเทศเกิดสันติ
ทั้งยังเสริมว่า คำสอนพระพุทธศาสนาอันแท้จริงมีจุดหมายอยู่ที่สันติภาพและความสุขของประชาชนทั้งหมด
จากจดหมายของพระนิชิเร็นไดโชนินนี้เอง ทำให้โฮฮจ โทขิโยริ ผู้มีอำนาจสูงสุดสมัยนั้นโกรธแค้นมาก หากลอุบายต่างๆ ที่จะทำร้ายพระนิชิเร็นไดโชนิน ถึงกลับนำตัวพระนิชิเร็นไดโชนินไปประหารชิวิต แต่ไม่สำเร็จ เป็นเหตุให้พระนิชิเร็นไดโชนินได้เปิดสภาพชีวิตพุทธแท้แห่งสมัยธรรมปลายออกมา ทันทีที่ท่านประกาศคำสอน ท่านได้รับการบีฑาธรรมมากมาย นับไม่ถ้วน แต่ที่ร้ายแรงและการบีฑาธรรมครั้งใหญ่ที่มีการจารึกไว้ มี 4 ครั้ง คือ
1. วันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ.1260 การบีฑาธรรมที่ตำบลมัตจึบะงะยัตจึ
2. วันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.1261 ถูกเนรเทศไปที่แหลมอิสึ
3. วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ.1264 การบีฑาธรรมที่โคมัตจึบาระ
4. วันที่ 12 กันยายน ค.ศ.1271 การบีฑาธรรมที่ทัตสึโนคุจิ และวันที่ 10 ตุลาคม ถูกเนรเทศไปเกาะซาโด แต่พระนิชิเร็นไดโชนิน ก็ได้รับการปกป้องจากเทพธรรมบาลทุกครั้งในฐานะพระพุทธแห่งสมัยธรรมปลาย จนท่านสามารถจารึกโงะฮนซน เพื่อเป็นสิ่งสักการบูชาสูงสุดให้กับประชาชน และวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ.1281 ท่านก็ได้ดับขันธ์ที่บ้านพี่น้องอิเคงามิ หลังจากได้มอบธรรมทั้งหมดให้แก่พระนิกโคโชนิน ซึ่งเป็นการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการเกิดมาของท่าน

ลมทั้งแปด...

ลมทั้งแปด
ชิโจคิงโงะที่ถูกใส่ร้ายป้ายสี และมีความทุกข์กังวล ได้เขียนจดหมายส่งให้พระนิชิเร็นไดโชนิน ซึ่งพระนิชิเร็นไดโชนินได้พยายามให้กำลังใจว่า อย่าพ่ายแพ้กับความยากลำบากในการดำเนินชีวิต และอย่าห่างจากความศรัทธาไป โดยสอนเรื่อง “ลมทั้งแปด”
ลม คือ กระแสของอากาศ เมื่อมีลมพัดมาทำให้สิ่งต่าง ๆ มีการเคลื่อนไหว ดังนั้น คำว่า “ลม” มีความหมายว่า การเคลื่อนไหวในตัวเอง จิตใจของคนก็เช่นเดียวกัน จะถูกกระทบกระเทือนหวั่นไหวจากการกระทำภายนอก และสิ่งที่ทำให้จิตใจของคนหวั่นไหวนั้น แบ่งออกเป็นแปดอย่าง และให้ชื่อว่า “ลมทั้งแปด”
ลมทั้งแปดแย่งเป็น 2 ประเภท
1. ลมที่น่าพอใจ 4 อย่าง ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ และ สุข
ลาภ หมายถึง การได้กำไร และได้ประโยชน์ ยศ หมายถึง เป็นการยกย่องที่ได้ได้เกิดเองโดยธรรมชาติ สรรเสริญ หมายถึง เป็นคำยกย่องให้เลิศลอย สุข หมายถึง ความสุขกายสบายใจ
2. ลมที่ไม่น่าพอใจ 4 อย่าง ได้แก่ เลื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์ เสื่อมลาภ หมายถึง ความอ่อนแอลง และการสูญเสียประโยชน์ เสื่อมยศ หมายถึง การกล่าวร้ายให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ นินทา หมายถึง คำกล่าวร้ายให้ความเข้าใจผิด ทุกข์ หมายถึง ความไม่สบายทั้งกายและใจ
อาจารย์อิเคดะ กล่าวว่า สำหรับปุถุชนจะพอใจกับลมที่น่าพอใจ 4 อย่าง และจะพ่ายแพ้กับกิเลส โดยพยายามหลีกเลี่ยงกับลมที่ไม่น่าพอใจ 4 อย่าง
ตัวอย่างคนที่พ่ายแพ้ต่อลมที่พอใจ 4 อย่าง
1. ยึดมั่นกับประโยชน์เฉพาะหน้า และลืมเรื่องความศรัทธาไป เป็นลักษณะที่พ่ายแพ้กับ “ลาภ”
2. เมื่อมีคนชมเชยลับหลัง ก็คิดว่าตัวเองเก่งมากแล้ว และลืมความศรัทธาที่บริสุทธิ์ไป เป็นลักษณะที่พ่ายแพ้กับ “ยศ”
3. ได้รับการชมเชยจากคนอื่นต่อหน้าตัวเอง ก็มีจิตใจอวดดี อิจฉา ลืมความศรัทธาในการใฝ่หาธรรม เป็นลักษณะที่พ่ายแพ้ต่อ “สรรเสริญ”
4. จมอยู่กับความสนุกสนานเพลิดเพลิน และลืมความศรัทธาแห่งการบำเพ็ญเพียรพุทธมรรค เป็นลักษณะที่พ่ายแพ้ต่อ “สุข”
ตัวอย่างคนที่พ่ายแพ้ต่อลมที่ไม่พอใจ 4 อย่าง
1. ฐานะเศรษฐกิจลำบากมากขึ้นระยะหนึ่ง จึงลืมความศรัทธาที่จะปฏิบัติตลอดชีวิต เป็นลักษณะพ่ายแพ้ต่อการ “เสื่อมลาภ”
2. กรณีที่รู้ว่ามีคนกล่าวร้ายตนลับหลัง จึงโมโหขึ้นมา เหมือนไฟที่ลุกโชนทันที และลืมความศรัทธาที่ปฏิบัติเพื่อความสุข เป็นลักษณะที่พ่ายแพ้ต่อ “เสื่อมยศ”
3. กรณีที่มีคนมาวิพากวิจารณ์ตัวเอง จึงกระทบกระเทือนความมั่นใจในตัวเอง และถอยศรัทธาไป เป็นลักษณะที่พ่ายแพ้ต่อ “นินทา”
4. กรณีที่ตกอยู่ในสภาพความยากลำบาก แทนที่จะตั้งใจว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองได้ แต่กลับหมดกำลังใจที่จะศรัทธา เป็นลักษณะที่พ่ายแพ้กับ “ทุกข์” นั่นเอง
สำหรับคนที่ไม่หวั่นไหวต่อลมทั้งแปดนี้ คือบุคคลที่มีจิตใจเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อสิ่งใด ๆ คนอย่างนี้เป็นคนที่ฉลาดที่แท้จริง นี่คือลักษณะของบุคคลที่มีความศรัทธาแท้จริง พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวว่า “เทพยดาทั้งหลายจะต้องให้การปกป้องคุ้มครองแก่ผู้ที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อลมทั้งแปดอย่างแน่นอน”

ธรรมศึกษา

ธรรมศึกษา

การปฏิบัติพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน
ศรัทธา ปฏิบัติ ศึกษา กับการปฏิบัติเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น
ศรัทธา ปฏิบัติ ศึกษา
ศรัทธา หมายถึง การเชื่อต่อพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน
วันนี้เรามาศึกษาคำว่า ปฏิบัติ และศึกษา
ปฏิบัติ
คำว่า ปฏิบัติ หรือ การปฏิบัติ หมายถึง วิธีการดึงเอา “พลัง” ในชีวิตเราให้ปรากฎออกมา
ซึ่งในพุทธธรรมสอนว่า ในชีวิตแต่ละชีวิตมี ธรรมะ หรือ มีพลังอันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตที่มีอยู่ภายในชีวิตเรา และก็เราสามารถนำพลังดังกล่าวนี้ออกมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงความทุกข์ให้เป็นความสุขได้
ตัวอย่างเช่น มนุษย์เราทุกคนนั้นมีศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเองที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เช่น ทุกคนสามารถเล่นเปียโนให้ไพเราะได้ ซึ่งสิ่งนี้ที่ซ่อนเร้นอยู่ในชีวิตของเรา แต่สิ่งที่จะทำให้สามารถเล่นได้ไพเราะ อยู่ที่การปฏิบัติในการฝึกซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างถูกต้อง
ในการบำเพ็ญเพียรพุทธมรรคเช่นกัน เรามีสภาพชีวิตพุทธซ่อนอยู่ในตัวเรา การที่จะให้สภาพชีวิตพุทธของเราปรากฎออกมาได้ ก็ด้วยการปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง นี่คือความหมายของการปฏิบัตินั่นเอง
พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวว่า “หากพวกเรามีการปฏิบัติสวดมนต์เช้าเย็นและไดโมขุแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการลงมือกระทำเพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาล หรือพัฒนาปรับปรุงชีวิตของเราแล้ว อานุกาพของโงะฮนซนก็ไม่สามารถปรากฎออกมาได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม หากพวกเราลงมือกระทำเพื่อการบรรลุการเผยแผ่ธรรมไพศาลแล้ว การกระทำดังกล่าวก็จะกลายเป็นแรงผลักดันที่พิเศษต่อชีวิตของเราเอง และช่วยให้สามารถยกระดับสภาพชีวิตของเราให้สูงได้”
ทั้งหมดนี้อยู่ที่การลงมือกระทำ อยู่ที่ก้าวแรกของเรา ถ้าหากเราต้องการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว แต่เรานิ่งอยู่เฉย ๆ เราก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จ หรือไปถึงจุดหมายปลายทางของเราได้ ฉะนั้นเราต้องลงมือกระทำ หรือลงมือปฏิบัตินั่นเอง

การปฏิบัติเพื่อตนเองและการปฏิบัติเพื่อผู้อื่น
การปฏิบัติมี 2 ด้าน คือ การปฏิบัติเพื่อตนเอง และการปฏิบัติเพื่อผู้อื่น ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว การปฏิบัติบำเพ็ญเพียรจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เปรียบเสมือนล้อ 2 ข้างของรถจักรยานนั่นเอง ถ้าขาดไปล้อใดล้อหนึ่งแล้ว รถก็ไม่สามารถขับไปได้
คำว่า การปฏิบัติเพื่อตนเอง คือ การที่ตัวเราปฏิบัติในการบำเพ็ญเพียร เพื่อที่จะให้ตัวเราได้รับผลบุญ คือ การสวดมนต์เช้าเย็นด้วยความเชื่อมั่นต่อโงะฮนซน
ส่วนคำว่า การปฏิบัติเพื่อผู้อื่น คือการปฏิบัติโดยสอนพุทธธรรมเพื่อให้ผู้อื่นได้รับผลบุญนั่นเอง ด้วยการแนะนำธรรม และสอนให้ผู้อื่นรู้ถึงบุญกุศลของโงะฮนซน
พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวว่า “เมื่อเข้าสู่สมัยธรรมปลายแล้ว ไดโมขุที่อาตมานิชิเร็นสวดในขณะนี้ต่างจากยุคสมัยก่อน เป็นนัมเมียวโฮเร็งเงเคียวที่มีพร้อมทั้งการปฏิบัติเพื่อตนเองและการปฏิบัติเพื่อผู้อื่น” และท่านกล่าวว่า “ตัวเองจงสวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว และชักชวนผู้อื่นด้วยเท่านั้น ที่จะเป็นความทรงจำของมนุษย์ในชาตินี้”
พระนิชิเร็นไดโชนินยังกล่าวอีกว่า “อาตมานิชิเร็นผู้เดียวที่เริ่มสวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว แต่จะต้องติดตามสวดมนต์เพิ่มขึ้นเป็น 2 คน 3 คน 100 คนต่อไป ดังนั้น หัวใจของไดโมขุก็คือ เป็นการสวดเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น”
อาจารย์อิเคดะกล่าวว่า “เมื่อเราสวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว” ด้วยจิตใจแห่งความศรัทธา บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตของเมียวโฮเร็งเงเคียวก็จะแสดงปรากฎออกมาในชีวิตของเรา นี่คือความหมายของการนำสภาพชีวิตของโลกพุทธะให้แสดงปรากฎออกมานั่นเอง







- 3 -

ศึกษา
คำว่า ศึกษา คือ การยึดถือ การศึกษา คำสอนในธรรมนิพนธ์ รวมถึงคำชี้นำ และบทความต่าง ๆ โดยการอ่านธรรมนิพนธ์ที่พระนิชิเร็นไดโชนินได้เขียนไว้ ซึ่งถ้าเราศึกษาธรรมนิพนธ์แล้ว เราจะเข้าใจ และมีความศรัทธามากขึ้น และยังทำให้เรามีการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย ถ้าหากไม่มีการศึกษาค้นคว้าหลักพุทธธรรมที่ถูกต้องแล้ว ก็ทำให้เราตกอยู่ในลักษณะที่ยึดติดความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ หรืออาจจะหลงเชื่อคำสอนที่ผิด ๆ ได้ง่าย
อาจารย์โทดะสอนว่า “เวลาที่เราอ่านธรรมนิพนธ์ ขอให้พวกเราเกิดแรงบันดาลใจจากข้อความใดข้อความหนึ่งของธรรมนิพนธ์ แล้วให้สลักถ้อยคำเหล่านั้นไว้ในจิตใจ และสวดไดโมขุ และนำข้อความนั้นมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ พร้อมกับต่อสู้กับปัญหาของชีวิต และความยากลำบากต่าง ๆ นี่คือแก่นแท้ของการศึกษาพุทธธรรม”
ขอให้พวกเราพยายามอ่านธรรมนิพนธ์ของพระนิชิเร็นไดโชนินเป็นประจำ ถึงแม้จะเป็นการอ่านเพียงประโยคเดียว หรือเป็นเพียงข้อความสั้น ๆ ก็ตาม การเปิดหนังสือธรรมนิพนธ์ ก็คือจุดเริ่มต้น ไม่ว่าเราจะอ่านมากหรือน้อยขนาดไหนก็ตาม ขอให้เริ่มต้นอ่านธรรมนิพนธ์ และแม้ข้อความธรรมนิพนธ์ที่เราอ่านนั้นไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญอยู่ที่มีความปรารถนาที่จะอ่านธรรมนิพนธ์ของพระนิชิเร็นไดโชนิน นั้นเราก็สามารถจารึกชีวิตจิตใจของพระนิชิเร็นไว้ในชีวิตของเราแล้ว ทุกอย่างที่เราอ่านก็สามารถซึมเข้าไปอยู่ในชีวิตของเรา
ตราบใดที่เรายังศึกษาธรรมนิพนธ์ และนำคำสอนมาปฏิบัติแล้ว พวกเราจะไม่พบกับทางตันอย่างเด็ดขาด การศึกษาจะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้เราเรียนครบทั้ง 3 ข้อ คือ ศรัทธา ปฏิบัติ และศึกษา ซึ่งอาจารย์อิเคดะได้เปรียบเทียบทั้ง 3 ข้อนี้กับการใช้ รถยนต์ ดังนี้
1. ความศรัทธา เปรียบเสมือน เครื่องยนต์
2. การปฏิบัติ เปรียบเสมือน ล้อ
3. การศึกษา เปรียบเหมือน พวงมาลัย







- 4 -


ความศรัทธาเป็นสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นสิ่งที่อยู่ภายใน เช่น เครื่องยนต์อยู่ภายในตัวถังรถยนต์ และมองไม่เห็น แต่เครื่องยนต์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นสิ่งที่ทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนไปได้ หากเครื่องยนต์ชำรุด รถยนต์ก็ไม่สามารถแล่นต่อไปได้ แม้เครื่องยนต์จะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด แต่ไม่มีล้อ หรือล้อชำรุด รถยนต์ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ และพวงมาลัย มีหน้าที่ใช้บังคับรถยนต์ให้แล่นไปตามทิศทางที่ถูกต้อง แม้เครื่องยนต์ และล้อ จะอยู่ในสภาพที่ดีเยี่ยม แต่ไม่มีพวงมาลัย รถยนต์คันนั้นก็ไม่สามารถแล่นไปในทิศทางที่ถูกต้องได้ และยังเป็นอันตรายอีกด้วย
สรุป รถยนต์ต้องมีพร้อมทั้งเครื่องยนต์ ล้อ และพวงมาลัย จึงจะสามารถใช้ประโยชน์ได้

ทำนองเดียวกัน การปฏิบัติพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนินต้องมีพร้อมทั้ง 3 ข้อ อาจารย์อิเคดะกล่าวว่า หลัก 3 ประการเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะ “ความศรัทธา” คือ สิ่งที่ก่อให้เกิดการปฏิบัติ และการศึกษาคือสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังการปฏิบัติ ดังนั้น เราจึงต้องมีการปฏิบัติที่สอดคล้องกับความศรัทธา พร้อมทั้งมีการศึกษาที่ไม่ก่อให้เกิดข้อจำกัดในการปฏิบัติ
พระนิชิเร็นไดโชนินได้กล่าวว่า “จงเชื่อต่อโงะฮนซนที่เป็นอันดับหนึ่งของโลก จงตั้งใจให้มากยิ่งขึ้น และยึดถือความศรัทธาที่เข้มแข็ง เพื่อให้ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากพระศากยมุนีพุทธะ พระประภูตรัตนพุทธ และพระพุทธะที่เป็นกายแยกทั้ง 10 ทิศ จงทุ่มเทให้กับการปฏิบัติบำเพ็ญเพียรในสองวิถีทางแห่งการปฏิบัติ และศึกษา หากปราศจากการปฏิบัติและการศึกษา พุทธธรรมก็จะมีอยู่ไม่ได้ ตัวเองลงมือปฏิบัติ พร้อมกับสอนและนำทางแก่ผู้คน การปฏิบัติก็ดี การศึกษาก็ดี จะเกิดขึ้นจากความศรัทธา ถ้ามีพลัง จงพูดคุยแม้เพียงหนึ่งประโยค หรือหนึ่งวลี”

เต่าตาเดียว

เต่าตาเดียว
เต่าตาเดียว หมายถึง เรื่องเต่าตาบอด เป็นเรื่องที่เปรียบเทียบให้เห็นถึงความยากลำบากของเต่าตาเดียวที่จะพบกับขอนไม้ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบกับผู้คนที่จะได้พบกับธรรมมหัศจรรย์เป็นเรื่องที่ยากที่จะรับและยึดถือ มีเนื้อหาดังนี้
ในท้องมหาสมุทรลึกถึง 80,000 โยชน์ มีเต่าตาเดียว ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีครีบ มีท้องที่มีความร้อนเหมือนกับเหล็กที่ถูกเผา ส่วนหลังนั้นมีความหนาวเย็นเหมือนกับภูเขาหิมะ และมีขอนไม้ที่ชื่อต้นมะกล่ำตาช้างแดง ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีค่ายิ่ง ถ้าเปรียบกับมนุษย์แล้วเหมือนกับอริยบุคคล ส่วนต้นไม้อื่น ๆ เรียกว่า ต้นไม้ธรรมดานั่นเอง ต้นไม้มะกล่ำตาช้างแดง เป็นต้นไม้ที่สามารถให้ความอบอ่นแก่กระดองเตาได้
ดังนั้นเต่าจึงปรารถนาทั้งเช้า กลางวัน เย็น และค่ำ ก็อยากขึ้นไปอยู่บนขอนไม้มะกล่ำตาช้างแดงนี้ เพื่อให้ท้องนั้นเย็นลง และให้กระดองหลังที่มีความหนาวเย็นโดยแสงอาทิตย์ให้อบอุ่น
แต่ในเวลา 1,000 ปี เต่าตัวนี้จะสามารถโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำทะเลได้เพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น ซึ่งท้องมหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมากมาย ส่วนเจ้าเต่าตัวเล็กนิดเดียว การที่จะพบกับขอนไม้ที่จะลอยมาก็แสนยากเย็น และถึงแม้จะเจอขอนไม้แล้ว แต่ก็อาจจะไม่ใช่ขอนไม้มะกล่ำตาช้างแดง แม้จะพบกับขอนไม้มะกล่ำตาช้างแดง ก็เป็นการยากยิ่งที่จะพบกับขอนไม้ที่มีรูขนาดพอดีกับท้องของเต่า เพราะถ้าหากรูของขอนไม้ใหญ่เกินไป เต่าก็จะตกหล่นไปอยู่ในรู กระดองก็จะไม่ได้รับแสงแดง อีกทั้งยิ่งจะไม่สามารถกลับขึ้นมาได้อีกด้วย และถ้ารูขอนไม้เล็กเกินไปก็จะไม่พอดี เวลาที่ถูกคลื่นชัดก็จะกระดอนออกจากขอนไม้และตกไปอยู่ใต้ท้องทะเล แต่ถึงแม้จะพบกับขอนไม้มะกล่ำตาช้างแดงที่มีรูพอดี แต่เนื่องจากมีเต่ามีตาเดียว ฉะนั้น เมื่อขอนไม้ลอยไปทางทิศตะวันตก ก็จะมองเห็นว่าลอยไปทางทิศตะวันออก เมื่อขอนไม้ลอยไปทางทิศเหนือก็จะเห็นว่าลอยไปทางทิศใต้ ถึงแม้จะใช้เวลายาวนานนับกัลปนับกัปที่นับไม่ถ้วน แต่เต่าตาเดียวก็ยังยากที่จะพบกับขอนไม้ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรได้ นี่เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า การที่ผู้คนจะพบกับธรรมมหัศจรรย์ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวว่า “เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบถึงการได้พบกับสัทธรรมปุณฑริกสูตรว่าเป็นเรื่องที่ยาก ถึงแม้ว่าจะได้พบแล้ว ไดโมขุที่สวดยากนั้น เหมือนกับการพบรูของธรรมมหัศจรรย์ จึงควรจะมีจิตใจเช่นนี้ มหาสุมทรก็คือ ทะเลแห่งความทุกข์แห่งการเกิดตาย เต่านั้นเปรียบเทียบแล้วก็เหมือนกับประชาชนอย่างพวกเรา การไม่มีแขน ไม่มีขา ก็เปรียบเทียบกับยพวกเราที่ไม่มีบุญกุศล ท้องที่ร้อนอยู่นั้นก็เปรียบได้กับพวกเรามีจิตใจเหมือนกับนรกร้อนแปดขุมแห่งความโกรธแค้น หลังที่หนาวเย็นเปรียบได้กับนรหหนาวแปดขุมแห่งความโลภ ในเวลา 1,000 ปีใต้ท้องมหาสมุทรนั้นเปรียบได้กับพวกเราที่ตกอยู่ในอบายภูมิ 3 และการจะลอยขึ้นมานั้นยาก 1,000 ปีจะลอยขึ้นมาได้เพียงหนึ่งครั้ง ก็เปรียบเหมือนกับเวลาอันยาวนานนับกัลปนับกัปที่นับไม่ถ้วน จากอบายภูมิ 3 ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เพียงครั้งเดียว แล้วได้มาพบกับพระศายมุนีพุทธเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง การที่พบกับขอนไม้สนนั้นง่าย แต่การพบกับไม้กะกล่ำตาช้างแดงนั้นยาก แต่การจะได้พบกับรูที่พอดีนั้นยาก ถึงแม้พบสัทธรรมปุณฑริกสูตรได้ การสวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว ซึ่งเป็นอักษร 5 ตัว และเป็นหัวใจของสัทธรรมปุณฑริกสูตรนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง การที่เห็นทิศตะวันออกเป็นทิศตะวันตก และเห็นทิศใต้เป็นทิศเหนือ ก็เหมือนกับเราประชาชนที่ทำหน้าตาเหมือนคนฉลาด มีสติปัญญา แต่กลับเห็นสิ่งเหนือกว่า”
ในสัทธรรมปุณฑริกสูตรบทที่ 27 ว่า “การพบพระพุทธเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง เหมือนกับดอกอุทุมพรที่จะบาน เหมือนกับเต่าตาเดียวที่จะพบกับรูของขอนไม้ที่ลอยอยู่” ยังมีข้อความที่กล่าวว่า “แต่พวกเรามีบุญหนัก จึงเกิดมาได้พบกับพุทธธรรม”
อาจารย์อิเคดะอธิบายในข้อความของพระนิชิเร็นกล่าวว่า
1. การที่เราได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาหาใช่เป็นเหตุบังเอิญไม่ แต่เป็นด้วยผลบุญจากอดีตชาติ
2. ในอดีตเราสัญญาว่าเราจะเผยแผ่ธรรมไพศาล

ความหมายนัม เมียว โฮเร็ง เง เคียว.....

ความหมายของนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว
นัม นะโม อุทิศชีวิต
เมียวโฮ ธรรมมหัศจรรย์
เร็งเง ดอกบัว เหตุและผล
เคียว สูตร เสียงของสรรพสัตว์
ดังนั้นนัมเมียวโฮเร็งเงคียวคือ
1.ธรรมมหัศจรรย์แห่งเหตุและผลที่เกี่ยวโยงสัมพันธ์กันในชีวิตทุกชีวิต ทั้งในมหภาคและจุลภาค
2.ธรรมที่เป็นบ่อเกิดของสกลจักรวาลซึ่งเป็นรากฐานของสรรพสิ่งทั้งปวงในสกลจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นดำเนินไปภายใต้กฎหรือธรรมแห่งนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว
3.ธรรมที่เป็นบ่อเกิดของการบรรลุพุทธภาวะของสรรพสัตว์ทั้งหลายก็คือนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว พระพุทธ
ทุกองค์รวมทั้งพระศากยมุนีพุทธ พระประภูตรัตนพุทธ ต่างก็บรรลุพุทธภาวะได้ด้วยนัม

พุทธรรมเบื้องต้น

สภาวะ 10 โลก
1.โลกนรก ความโกรธแค้นคือนรก เป็นสถานะที่ต่ำที่สุด หมายถึง สถานที่ที่ทุกข์ทรมานหรือเราอยู่ในสภาพที่มีความทุกข์ เช่น กลุ้มเรื่องหนี้สินเงินทอง ลูกไม่สบาย แม่กลุ้มใจ เป็นต้น
2. โลกเปรต ความโลภคือเปรต เป็นสภาพชีวิตที่อดอยากเนื่องจากมีความต้องการไม่รู้จักพอ เป็นสภาพชีวิตที่ถูกครอบงำด้วยความอยาก เช่น สภาพชีวิตของขโมยที่อยากลักทรัพย์ของคนอื่น
ความอยากของมนุษย์ มองได้ทั้งแง่บวกและลบ เช่น อยากจะศึกษาธรรม อยากจะสวมมนต์ เป็นความอยากที่เกิดแรงผลักดันให้มีความพยายามต่อสู้ เพื่อทำให้มีชีวิตที่เป็นอยู่ก้าวหน้าขึ้น พัฒนาขึ้น
สภาพความอยากของคนเราไม่มีขอบเขตจำกัด ตราบใดที่เรามีชีวิตอยู่ เราก็มีความอยาก ความปรารถนา เราไม่สามารถทำให้ความอยากหายไปได้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องควบคุมความอยากความปรารถนาให้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง
3. โลกเดรัจฉาน ความโง่เขลา คือ เดรัจฉาน เป็นสภาพชีวิตเหมือนกับสัตว์ที่กระทำไปตามสัญชาตญาณ โดยไม่ใช้เหตุผล มีชีวิตอยู่ท่ามกลางการแข่งขันเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ปลาใหญ่กินปลาเล็ก มนุษย์ก็เช่นกัน สภาพชีวิตของคนที่ปฏิบัติต่อคนซึ่งมีตำแหน่งสูงกว่าหรือคนที่แข็งแรงกว่า ก็จะพูดจาประจบสอพลอ แต่คนที่ตำแหน่งด้อยกว่าหรืออ่อนแอกว่าก็จะวางท่าใหญ่โต ข่มเหงกลั่นแกล้งเขา สภาพชีวิตเช่นนี้ก็คือโลกเดรัจฉาน
4. โลกอสุระ ความคดเคี้ยวก็คือ อสุระ ความคดเคี้ยว คือ จิตใจที่คดเคี้ยว ชอบประจบ สอพลอ สภาพชีวิตที่ยึดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่คำนึ่งถึงคนอื่น เอาแต่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก สภาพชีวิตที่แสดงความโกรธฉุนเฉียวขึ้นมาทันที และอยากให้ตัวเองเหนือกว่าผู้อื่นเอาชนะผู้อื่นตลอดเวลา มีจิตใจที่อิจฉาริษยา โกรธแค้น และโจมตีคู่ต่อสู้
5. โลกมนุษย์ ความสงบราบเรียบคือมนุษย์ เป็นสภาพชีวิตที่ได้รับความสงบสุขราบรื่น ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น เวลาครอบครัวมีความสนุกสนานปรองดองกัน ก็คือ สภาพของโลกมนุษย์นั่นเอง
6. โลกเทวะ ความปิติยินดีก็คือ เทวะ เป็นสภาพชีวิตที่พึงพอใจตามความอยากความปรารถนาต่าง ๆ เป็นสภาพชีวิตที่ยินดีพอใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ สภาพชีวิตที่ร่าเริงเมื่อได้รับความดีใจมาก มีสภาพชีวิตเหมือเท้าแตะไม่ถึงพื้น เรียกว่า โลกเทวะ ความปิติยินดีของโลกเทวะไม่จีรังยั่งยืน เช่น อยากได้รถเมื่อซื้อรถแล้วก็ดีใจ แต่พอเห็นเพื่อนขับรถยี่ห้อที่ดีกว่า ก็เกิดวามรู้สึกอยากได้รถคันนั้น
โดยปกติแล้ว สภาพชีวิตของมนุษย์จะวนเวียนอยู่ใน 6 โลก ถ้ามีสภาพชีวิตที่สูงกว่า เรียกว่า 4 โลกอริยะ (ทวิยาน)
7. โลกสาวะ (ศึกษา) ที่เรียวกว่าสาวก เพราะเดิมทีหมายถึงการพังเสียงของพระพุทธแล้วถ่ายทอด ลูกศิษย์ที่ฟังเรียกว่า ผู้เป็นสาวก สภาพโลกสาวกเป็นสภาพชีวิตที่เข้าใจในความคิดเห็น และประสบการณ์ของคืนอื่น ๆ เป็นสภาพชีวิตที่พยายามพัฒนาให้ตัวเอง พยายามขัดเกลาตัวเอง และฝ่าหาความรู้ใส่ตัว
8. โลกปัจเจก (สมาธิ) เป็นสภาพชีวิตของการที่ได้กระทำอะไรบางอย่างแล้ว สามารถตระหนักรู้ในกฎเกณฑ์นั้น เช่น นักปราชญ์ที่สามารถค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ตนถนัด
คนที่มีชีวิตของทวิยาน คือ โลกสาวกกับโลกปัจเจกแรงมาก มักกลายเป็นคนที่มีความเห็นแก่ตัวไม่แยแสผู้อื่น คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่
9. โลกโพธิสัตว์ เป็นสภาพชีวิตที่ให้ความสำคัญให้ความเมตตาต่อผู้อื่น เพื่อผู้อื่นแล้วไม่เสียดายความเหน็ดเหนื่อย และเป็นสภาพชีวิตที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น ซึ่งพยายามมอบสิ่งที่ดีให้กับชีวิตของคนอื่น เช่น คนที่พยายามช่วยชีวิตคนในขณะประสบอุบัติเหตุ ด้านพุทธรรมอย่างพวกเรา คือ ออกเยี่ยมสมาชิก เป็นต้น
10. โลกพุทธ สภาพชีวิตที่สูงที่สุดของมนุษย์ โลกพุทธใช้เรียกการทำงานของชีวิตที่เปลี่ยนแต่ละโลกของชีวิตใน 9 โลกที่กล่าวมาข้างต้น