วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

ชาวนากับลา

ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีชาวนาคนหนึ่ง
เลี้ยงลาไว้หนึ่งตัวซึ่งแก่มากแล้ว

วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก
ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อ
มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา
ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา

ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไป
แล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา
ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ
ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ

ครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจ
และรู้ชะตากรรมของตนทันที
มันร้องโหยหวน
สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป

หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อได้สักสองสามพลั่ว
ได้เหลือบมองลงไปในบ่อ
ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า
ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลา
มันจะสะบัดดินออกจากหลัง
แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น

ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร
มันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น

ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจ
ที่เจ้าลาในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...
ชีวิตนี้อุปสรรคต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็
เปรียบเสมือนดิน ที่สาดเข้ามาหาเรา

จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้ จงแก้ไขมัน
เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ
เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น

ความสุขสัมบูรณ์

ผู้ที่มีชีวิตอยู่จนถึงที่สุด
เพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาลนั้น คือ
โพธิสัตว์จากพื้นโลก เป็นบริวารของพระพุทธะ
และชีวิตนั้น ก็เป็นนิรันดร์



ดังนั้นตามหลักการของธรรมมหัศจรรย์แล้ว
จึงเป็นไปไม่ได้ที่โพธิสัตว์จากพื้นโลก
และบริวารของพระพุทธ จะไม่ไ้รับการช่วยเหลือ



ชื่อเสียงเกียรติยศที่สูงขึ้นก็ดี ทรัพย์สมบัติก็ดี ...
ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถรับประกันความสุข
ได้อย่างเด็ดขาด ที่เรียกว่า...



ความสุขที่แท้จริง หรือ ความสุขสัมบูรณ์ นั้น
ไม่มีทางอื่นใด นอกจาก ...



จะตรักหนักรู้ตัวได้ว่า ... ตัวเองนั้น
เป็นตัวตนแท้จริงของ ธรรมมหัศจรรย์
แล้วปฏิวัติชีวิตมนุษย์ของตัวเอง
ทำให้ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธะ
ปรากฎออกมา ด้วยความศรัทธา เท่านั้น



มนุษย์เรานั้น ตอนที่เกิดมาก็ดี
ตอนที่เสียชีวิตไปก็ดี
เป็นไปตามลำพังคนเดียว



แต่พลังที่สามารถให้การปกป้องคุ้มครอง
ตัวเองตลอด 3 ชาติ ได้นั้น
มีเพียงแค่ธรรมมหัศจรรย์ เท่านั้น

“ความศรัทธาของเราเป็นดังเช่นราก และแก้วมณี”

ที่ว่า “ความศรัทธาของเราเป็นดังเช่นราก และแก้วมณี” นั้นเป็นอย่างไร
การปฏิบัติพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนินนั้น มีรากฐานอยู่บน “ศรัทธา ปฏิบัติ และศึกษา” คือสิ่งที่จะทำให้ รากแห่งความศรัทธาของแต่ละคนมีความลึกซึ้งและแข็งแรง ช่วยให้สามารถต่อสู้กับความยากลำบากและมีชัยชนะต่อได้ ความศรัทธา ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก แต่หากมีความศรัทาอันมั่นคงแน่วแน่ที่หยั่งรากลึกในแผ่นดินชีวิตแล้ว ก็จะสามารถพิชิตความยากลำบากทั้งปวงได้ ทำให้ใบไม้แห่งความสุขในการดำเนินชีวิตแห่งความเป็นจริงเจริญงอกงาม และสร้างความชุ่มชื้นแก่สังคมด้วยน้ำแห่งความเมตตากรุณา
แต่การจะมีรากแห่งความศรัทาธาลึกซึ้งและเข้มแข็งได้ ก็โดยการสวดวารระเช้าเย็น และการสวดไดโมขุ พร้อมทั้งมีการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาล (เพื่อผู้อื่น) คือการทำให้รากแห่งความศรัทธาของเราเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ สามารถหยั่งรากลึก มีความแข็งแกร่งและทนทานในการต่อสู้ต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้
อาจารย์อิเคดะได้ชี้นำไว้ว่า “จงทำให้รากแห่งความศรัทธาแผ่กว้างและหยั่งลึกอย่างเข้มแข็ง หากรากแผ่กว้างและหยั่งลึกแล้ว แม้บางเวลาจะเผชิญกับพายุหิมะก็ตาม เมื่อได้รับแสงอาทิตย์และน้ำมาหล่เลี้ยง ก็จะสามารถเจริญเติบโตทีละนิด ๆ และกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ได้อย่างแน่นอน ความศรัทธาและชีวิตมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ในท่ามกลางสังคมแห่งความเป็นจริงที่เข้มงวดนี้ ขอให้ทุกท่านในฐานะผู้แสดงข้อพิสูจน์ของพุทธศาสนาแห่งความเป็นจริง จงเป็นผู้กล้าที่แผ่ขยายแสงแห่งความสุขอันยิ่งใหญ่ออกไปอย่างสว่างสดใส
ด้วยเหตุนี้ อาจารย์จึงช่วยให้ทุกคนเกิดความหวัง และเกิดความกล้าหาญยืนหยัดขึ้นมาในการปฏิบัติศรัทธา แฃะได้รับชัยชนะต่อความทุกข์ของแต่ละคน ทำให้มีชีวิตที่มีความสุขได้ เข้าใจถึงความถูกต้องเที่ยงธรรม และทำให้ทุกคนเกิดความเชื่อที่ว่า “ความศรัทธายอดเยี่ยมขนาดนี้หรือ เป็นแบบนี้หรือ ผลบุญจากโงะฮนซนมหัศจรรย์เพียงนี้หรือ” ความศรัทธาสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ได้ ขอให้มีความเชื่อมั่นในเรื่องนี้
และนี่เป็นผลบุญที่แต่ละคนได้รับและปรากฎออกมา และมีความรู้สึกว่า อยากแบ่งปันสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้จากอาจารย์ไปสู่เพื่อนสมาชิกคนอื่นๆ เพื่อช่วยให้สามารถไดรับผลบุญที่ยอดเยี่ยมจากความศรัทธาเช่นเดียวกันตนเอง
นอกจากนี้แล้ว โครงสร้างของระบบการของสมาคมก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการทำให้รากความศรัทธาของเพื่อนสมาชิกสามารถหยั่งลึกเป็นรากฐานแห่งความสุขได้ เป็นเครือข่ายในการดูแลและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ดังที่ พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวไว้ว่า “แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีแรงเลยก็ตาม แต่ถ้ามีคนคอยช่วยที่เข้มแข็งแล้ว เขาก็จะไม่ล้ม แม้จะเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่ง แต่หากต้องอยู่คนเดียว เมื่อเจอเส้นทางชันก็อาจล้มได้”
อาจารย์อิเคดะได้กล่าวย้ำอีกว่า “หากให้กำลังใจและช่วยเหลือกันแล้ว พลังนั้นก็จะกลายเป็น 2 เท่า 3 เท่า หากต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ชีวิก็ช่างน่าสงสารยิ่งนัก”
เพราะฉะนั้น จงตระหนักให้ได้ว่า ช่วงเวลาที่จะสร้างรากแห่งความศรัทธาในหนึ่งชั่วชีวิต คือเวลานี้ และขอให้ท้าทายต่อความยากลำบากอย่างกล้าหาญต่อไป

เทียนสี่เล่ม

เปลวเทียนทั้ง 4 เล่ม
ค่อยๆ พลิ้วไหวไปอย่างช้าๆ
บรรยากาศรอบข้าง ช่างแผ่วเบายิ่งนัก

หากเราเงี่ยหูฟัง
จะได้ยินเทียนทั้งสี่สนทนากัน . . .


เทียนเล่มแรก เอ่ย
"ฉันคือ สันติภาพ น่าเศร้าเหลือเกิน
ทุกวันนี้ ไม่มีใครอยากให้ฉัน สว่างไสว"
แสงของ "สันติภาพ" ค่อยๆ ริบหรี่ และ ดับไป


เทียนเล่มที่สอง เอ่ย
"ฉันคือ ศรัทธา น่าเศร้าหนักหนา
ทุกวันนี้ ไม่มีใครต้องการ"
แสงของ "ศรัทธา" ค่อยๆ ริบหรี่ และ ดับไป


เสียงเอ่ยขึ้นมาอย่างเศร้าใจ


เทียนเล่มที่สาม กล่าว
"ฉันคือ ความรัก
ฉันไม่เข้มแข็งพอ ที่จะส่องสว่างต่อไป"
"ผู้คนเพิกเฉยและไม่เห็นค่าของฉัน
แม้แต่คนใกล้ชิด
พวกเขายังไม่คิดจะเติมรักให้แก่กัน"
ว่าดังนั้น พลัน "ความรัก" ก็ดับไป


ไม่ช้าไม่นาน...
เด็กน้อยคนหนึ่งได้เดินเข้ามา
เมื่อพบเทียนสามเล่มดับไป
เขาเริ่มร่ำไห้และหลั่งน้ำตา

"ทำไมพวกเธอถึงดับไป
พวกเธอต้องสว่างไสวตราบนิรันดร์ไม่ใช่หรือ"


ทันใด เทียนเล่มที่สี่
กระซิบอย่างแผ่วเบา
"อย่ากลัวไปเลยหนูน้อย
ตัวฉันนี้คือ ความหวัง
ตราบใดที่ฉันยังส่องสว่างอยู่ได้
เทียนสามเล่มนั้น จะกลับมาไม่ช้านาน"


เด็กชายตัวน้อย
ตาเป็นประกายด้วยความปิติ
สองมือนั้นค่อยๆ
จุด "เทียนแห่งความหวัง"
พร้อมกันกับเทียนอีกสามเล่ม


อย่าปล่อยให้ "แสงแห่งความหวัง"
ในชีวิตเราดับไป

ไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายหรือแย่สักแค่ไหน
เมื่อเรามี ความหวัง แล้วไซร้ . . .
สันติภาพ ศรัทธา และ ความรัก
ก็จะส่องสว่างอยู่ในตัวเราเสมอ