ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีชาวนาคนหนึ่ง
เลี้ยงลาไว้หนึ่งตัวซึ่งแก่มากแล้ว
วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก
ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อ
มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา
ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา
ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไป
แล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา
ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ
ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ
ครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจ
และรู้ชะตากรรมของตนทันที
มันร้องโหยหวน
สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป
หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อได้สักสองสามพลั่ว
ได้เหลือบมองลงไปในบ่อ
ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า
ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลา
มันจะสะบัดดินออกจากหลัง
แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น
ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร
มันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น
ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจ
ที่เจ้าลาในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ...
ชีวิตนี้อุปสรรคต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็
เปรียบเสมือนดิน ที่สาดเข้ามาหาเรา
จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้ จงแก้ไขมัน
เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ
เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น
วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553
ความสุขสัมบูรณ์
ผู้ที่มีชีวิตอยู่จนถึงที่สุด
เพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาลนั้น คือ
โพธิสัตว์จากพื้นโลก เป็นบริวารของพระพุทธะ
และชีวิตนั้น ก็เป็นนิรันดร์
ดังนั้นตามหลักการของธรรมมหัศจรรย์แล้ว
จึงเป็นไปไม่ได้ที่โพธิสัตว์จากพื้นโลก
และบริวารของพระพุทธ จะไม่ไ้รับการช่วยเหลือ
ชื่อเสียงเกียรติยศที่สูงขึ้นก็ดี ทรัพย์สมบัติก็ดี ...
ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถรับประกันความสุข
ได้อย่างเด็ดขาด ที่เรียกว่า...
ความสุขที่แท้จริง หรือ ความสุขสัมบูรณ์ นั้น
ไม่มีทางอื่นใด นอกจาก ...
จะตรักหนักรู้ตัวได้ว่า ... ตัวเองนั้น
เป็นตัวตนแท้จริงของ ธรรมมหัศจรรย์
แล้วปฏิวัติชีวิตมนุษย์ของตัวเอง
ทำให้ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธะ
ปรากฎออกมา ด้วยความศรัทธา เท่านั้น
มนุษย์เรานั้น ตอนที่เกิดมาก็ดี
ตอนที่เสียชีวิตไปก็ดี
เป็นไปตามลำพังคนเดียว
แต่พลังที่สามารถให้การปกป้องคุ้มครอง
ตัวเองตลอด 3 ชาติ ได้นั้น
มีเพียงแค่ธรรมมหัศจรรย์ เท่านั้น
เพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาลนั้น คือ
โพธิสัตว์จากพื้นโลก เป็นบริวารของพระพุทธะ
และชีวิตนั้น ก็เป็นนิรันดร์
ดังนั้นตามหลักการของธรรมมหัศจรรย์แล้ว
จึงเป็นไปไม่ได้ที่โพธิสัตว์จากพื้นโลก
และบริวารของพระพุทธ จะไม่ไ้รับการช่วยเหลือ
ชื่อเสียงเกียรติยศที่สูงขึ้นก็ดี ทรัพย์สมบัติก็ดี ...
ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถรับประกันความสุข
ได้อย่างเด็ดขาด ที่เรียกว่า...
ความสุขที่แท้จริง หรือ ความสุขสัมบูรณ์ นั้น
ไม่มีทางอื่นใด นอกจาก ...
จะตรักหนักรู้ตัวได้ว่า ... ตัวเองนั้น
เป็นตัวตนแท้จริงของ ธรรมมหัศจรรย์
แล้วปฏิวัติชีวิตมนุษย์ของตัวเอง
ทำให้ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธะ
ปรากฎออกมา ด้วยความศรัทธา เท่านั้น
มนุษย์เรานั้น ตอนที่เกิดมาก็ดี
ตอนที่เสียชีวิตไปก็ดี
เป็นไปตามลำพังคนเดียว
แต่พลังที่สามารถให้การปกป้องคุ้มครอง
ตัวเองตลอด 3 ชาติ ได้นั้น
มีเพียงแค่ธรรมมหัศจรรย์ เท่านั้น
“ความศรัทธาของเราเป็นดังเช่นราก และแก้วมณี”
ที่ว่า “ความศรัทธาของเราเป็นดังเช่นราก และแก้วมณี” นั้นเป็นอย่างไร
การปฏิบัติพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนินนั้น มีรากฐานอยู่บน “ศรัทธา ปฏิบัติ และศึกษา” คือสิ่งที่จะทำให้ รากแห่งความศรัทธาของแต่ละคนมีความลึกซึ้งและแข็งแรง ช่วยให้สามารถต่อสู้กับความยากลำบากและมีชัยชนะต่อได้ ความศรัทธา ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก แต่หากมีความศรัทาอันมั่นคงแน่วแน่ที่หยั่งรากลึกในแผ่นดินชีวิตแล้ว ก็จะสามารถพิชิตความยากลำบากทั้งปวงได้ ทำให้ใบไม้แห่งความสุขในการดำเนินชีวิตแห่งความเป็นจริงเจริญงอกงาม และสร้างความชุ่มชื้นแก่สังคมด้วยน้ำแห่งความเมตตากรุณา
แต่การจะมีรากแห่งความศรัทาธาลึกซึ้งและเข้มแข็งได้ ก็โดยการสวดวารระเช้าเย็น และการสวดไดโมขุ พร้อมทั้งมีการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาล (เพื่อผู้อื่น) คือการทำให้รากแห่งความศรัทธาของเราเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ สามารถหยั่งรากลึก มีความแข็งแกร่งและทนทานในการต่อสู้ต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้
อาจารย์อิเคดะได้ชี้นำไว้ว่า “จงทำให้รากแห่งความศรัทธาแผ่กว้างและหยั่งลึกอย่างเข้มแข็ง หากรากแผ่กว้างและหยั่งลึกแล้ว แม้บางเวลาจะเผชิญกับพายุหิมะก็ตาม เมื่อได้รับแสงอาทิตย์และน้ำมาหล่เลี้ยง ก็จะสามารถเจริญเติบโตทีละนิด ๆ และกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ได้อย่างแน่นอน ความศรัทธาและชีวิตมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ในท่ามกลางสังคมแห่งความเป็นจริงที่เข้มงวดนี้ ขอให้ทุกท่านในฐานะผู้แสดงข้อพิสูจน์ของพุทธศาสนาแห่งความเป็นจริง จงเป็นผู้กล้าที่แผ่ขยายแสงแห่งความสุขอันยิ่งใหญ่ออกไปอย่างสว่างสดใส
ด้วยเหตุนี้ อาจารย์จึงช่วยให้ทุกคนเกิดความหวัง และเกิดความกล้าหาญยืนหยัดขึ้นมาในการปฏิบัติศรัทธา แฃะได้รับชัยชนะต่อความทุกข์ของแต่ละคน ทำให้มีชีวิตที่มีความสุขได้ เข้าใจถึงความถูกต้องเที่ยงธรรม และทำให้ทุกคนเกิดความเชื่อที่ว่า “ความศรัทธายอดเยี่ยมขนาดนี้หรือ เป็นแบบนี้หรือ ผลบุญจากโงะฮนซนมหัศจรรย์เพียงนี้หรือ” ความศรัทธาสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ได้ ขอให้มีความเชื่อมั่นในเรื่องนี้
และนี่เป็นผลบุญที่แต่ละคนได้รับและปรากฎออกมา และมีความรู้สึกว่า อยากแบ่งปันสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้จากอาจารย์ไปสู่เพื่อนสมาชิกคนอื่นๆ เพื่อช่วยให้สามารถไดรับผลบุญที่ยอดเยี่ยมจากความศรัทธาเช่นเดียวกันตนเอง
นอกจากนี้แล้ว โครงสร้างของระบบการของสมาคมก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการทำให้รากความศรัทธาของเพื่อนสมาชิกสามารถหยั่งลึกเป็นรากฐานแห่งความสุขได้ เป็นเครือข่ายในการดูแลและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ดังที่ พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวไว้ว่า “แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีแรงเลยก็ตาม แต่ถ้ามีคนคอยช่วยที่เข้มแข็งแล้ว เขาก็จะไม่ล้ม แม้จะเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่ง แต่หากต้องอยู่คนเดียว เมื่อเจอเส้นทางชันก็อาจล้มได้”
อาจารย์อิเคดะได้กล่าวย้ำอีกว่า “หากให้กำลังใจและช่วยเหลือกันแล้ว พลังนั้นก็จะกลายเป็น 2 เท่า 3 เท่า หากต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ชีวิก็ช่างน่าสงสารยิ่งนัก”
เพราะฉะนั้น จงตระหนักให้ได้ว่า ช่วงเวลาที่จะสร้างรากแห่งความศรัทธาในหนึ่งชั่วชีวิต คือเวลานี้ และขอให้ท้าทายต่อความยากลำบากอย่างกล้าหาญต่อไป
การปฏิบัติพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนินนั้น มีรากฐานอยู่บน “ศรัทธา ปฏิบัติ และศึกษา” คือสิ่งที่จะทำให้ รากแห่งความศรัทธาของแต่ละคนมีความลึกซึ้งและแข็งแรง ช่วยให้สามารถต่อสู้กับความยากลำบากและมีชัยชนะต่อได้ ความศรัทธา ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก แต่หากมีความศรัทาอันมั่นคงแน่วแน่ที่หยั่งรากลึกในแผ่นดินชีวิตแล้ว ก็จะสามารถพิชิตความยากลำบากทั้งปวงได้ ทำให้ใบไม้แห่งความสุขในการดำเนินชีวิตแห่งความเป็นจริงเจริญงอกงาม และสร้างความชุ่มชื้นแก่สังคมด้วยน้ำแห่งความเมตตากรุณา
แต่การจะมีรากแห่งความศรัทาธาลึกซึ้งและเข้มแข็งได้ ก็โดยการสวดวารระเช้าเย็น และการสวดไดโมขุ พร้อมทั้งมีการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาล (เพื่อผู้อื่น) คือการทำให้รากแห่งความศรัทธาของเราเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ สามารถหยั่งรากลึก มีความแข็งแกร่งและทนทานในการต่อสู้ต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้
อาจารย์อิเคดะได้ชี้นำไว้ว่า “จงทำให้รากแห่งความศรัทธาแผ่กว้างและหยั่งลึกอย่างเข้มแข็ง หากรากแผ่กว้างและหยั่งลึกแล้ว แม้บางเวลาจะเผชิญกับพายุหิมะก็ตาม เมื่อได้รับแสงอาทิตย์และน้ำมาหล่เลี้ยง ก็จะสามารถเจริญเติบโตทีละนิด ๆ และกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ได้อย่างแน่นอน ความศรัทธาและชีวิตมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ในท่ามกลางสังคมแห่งความเป็นจริงที่เข้มงวดนี้ ขอให้ทุกท่านในฐานะผู้แสดงข้อพิสูจน์ของพุทธศาสนาแห่งความเป็นจริง จงเป็นผู้กล้าที่แผ่ขยายแสงแห่งความสุขอันยิ่งใหญ่ออกไปอย่างสว่างสดใส
ด้วยเหตุนี้ อาจารย์จึงช่วยให้ทุกคนเกิดความหวัง และเกิดความกล้าหาญยืนหยัดขึ้นมาในการปฏิบัติศรัทธา แฃะได้รับชัยชนะต่อความทุกข์ของแต่ละคน ทำให้มีชีวิตที่มีความสุขได้ เข้าใจถึงความถูกต้องเที่ยงธรรม และทำให้ทุกคนเกิดความเชื่อที่ว่า “ความศรัทธายอดเยี่ยมขนาดนี้หรือ เป็นแบบนี้หรือ ผลบุญจากโงะฮนซนมหัศจรรย์เพียงนี้หรือ” ความศรัทธาสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ได้ ขอให้มีความเชื่อมั่นในเรื่องนี้
และนี่เป็นผลบุญที่แต่ละคนได้รับและปรากฎออกมา และมีความรู้สึกว่า อยากแบ่งปันสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้จากอาจารย์ไปสู่เพื่อนสมาชิกคนอื่นๆ เพื่อช่วยให้สามารถไดรับผลบุญที่ยอดเยี่ยมจากความศรัทธาเช่นเดียวกันตนเอง
นอกจากนี้แล้ว โครงสร้างของระบบการของสมาคมก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการทำให้รากความศรัทธาของเพื่อนสมาชิกสามารถหยั่งลึกเป็นรากฐานแห่งความสุขได้ เป็นเครือข่ายในการดูแลและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ดังที่ พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวไว้ว่า “แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีแรงเลยก็ตาม แต่ถ้ามีคนคอยช่วยที่เข้มแข็งแล้ว เขาก็จะไม่ล้ม แม้จะเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่ง แต่หากต้องอยู่คนเดียว เมื่อเจอเส้นทางชันก็อาจล้มได้”
อาจารย์อิเคดะได้กล่าวย้ำอีกว่า “หากให้กำลังใจและช่วยเหลือกันแล้ว พลังนั้นก็จะกลายเป็น 2 เท่า 3 เท่า หากต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ชีวิก็ช่างน่าสงสารยิ่งนัก”
เพราะฉะนั้น จงตระหนักให้ได้ว่า ช่วงเวลาที่จะสร้างรากแห่งความศรัทธาในหนึ่งชั่วชีวิต คือเวลานี้ และขอให้ท้าทายต่อความยากลำบากอย่างกล้าหาญต่อไป
ป้ายกำกับ:
ความศรัทธาของเราเป็นดังเช่นราก และแก้วมณี
เทียนสี่เล่ม
เปลวเทียนทั้ง 4 เล่ม
ค่อยๆ พลิ้วไหวไปอย่างช้าๆ
บรรยากาศรอบข้าง ช่างแผ่วเบายิ่งนัก
หากเราเงี่ยหูฟัง
จะได้ยินเทียนทั้งสี่สนทนากัน . . .
เทียนเล่มแรก เอ่ย
"ฉันคือ สันติภาพ น่าเศร้าเหลือเกิน
ทุกวันนี้ ไม่มีใครอยากให้ฉัน สว่างไสว"
แสงของ "สันติภาพ" ค่อยๆ ริบหรี่ และ ดับไป
เทียนเล่มที่สอง เอ่ย
"ฉันคือ ศรัทธา น่าเศร้าหนักหนา
ทุกวันนี้ ไม่มีใครต้องการ"
แสงของ "ศรัทธา" ค่อยๆ ริบหรี่ และ ดับไป
เสียงเอ่ยขึ้นมาอย่างเศร้าใจ
เทียนเล่มที่สาม กล่าว
"ฉันคือ ความรัก
ฉันไม่เข้มแข็งพอ ที่จะส่องสว่างต่อไป"
"ผู้คนเพิกเฉยและไม่เห็นค่าของฉัน
แม้แต่คนใกล้ชิด
พวกเขายังไม่คิดจะเติมรักให้แก่กัน"
ว่าดังนั้น พลัน "ความรัก" ก็ดับไป
ไม่ช้าไม่นาน...
เด็กน้อยคนหนึ่งได้เดินเข้ามา
เมื่อพบเทียนสามเล่มดับไป
เขาเริ่มร่ำไห้และหลั่งน้ำตา
"ทำไมพวกเธอถึงดับไป
พวกเธอต้องสว่างไสวตราบนิรันดร์ไม่ใช่หรือ"
ทันใด เทียนเล่มที่สี่
กระซิบอย่างแผ่วเบา
"อย่ากลัวไปเลยหนูน้อย
ตัวฉันนี้คือ ความหวัง
ตราบใดที่ฉันยังส่องสว่างอยู่ได้
เทียนสามเล่มนั้น จะกลับมาไม่ช้านาน"
เด็กชายตัวน้อย
ตาเป็นประกายด้วยความปิติ
สองมือนั้นค่อยๆ
จุด "เทียนแห่งความหวัง"
พร้อมกันกับเทียนอีกสามเล่ม
อย่าปล่อยให้ "แสงแห่งความหวัง"
ในชีวิตเราดับไป
ไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายหรือแย่สักแค่ไหน
เมื่อเรามี ความหวัง แล้วไซร้ . . .
สันติภาพ ศรัทธา และ ความรัก
ก็จะส่องสว่างอยู่ในตัวเราเสมอ
ค่อยๆ พลิ้วไหวไปอย่างช้าๆ
บรรยากาศรอบข้าง ช่างแผ่วเบายิ่งนัก
หากเราเงี่ยหูฟัง
จะได้ยินเทียนทั้งสี่สนทนากัน . . .
เทียนเล่มแรก เอ่ย
"ฉันคือ สันติภาพ น่าเศร้าเหลือเกิน
ทุกวันนี้ ไม่มีใครอยากให้ฉัน สว่างไสว"
แสงของ "สันติภาพ" ค่อยๆ ริบหรี่ และ ดับไป
เทียนเล่มที่สอง เอ่ย
"ฉันคือ ศรัทธา น่าเศร้าหนักหนา
ทุกวันนี้ ไม่มีใครต้องการ"
แสงของ "ศรัทธา" ค่อยๆ ริบหรี่ และ ดับไป
เสียงเอ่ยขึ้นมาอย่างเศร้าใจ
เทียนเล่มที่สาม กล่าว
"ฉันคือ ความรัก
ฉันไม่เข้มแข็งพอ ที่จะส่องสว่างต่อไป"
"ผู้คนเพิกเฉยและไม่เห็นค่าของฉัน
แม้แต่คนใกล้ชิด
พวกเขายังไม่คิดจะเติมรักให้แก่กัน"
ว่าดังนั้น พลัน "ความรัก" ก็ดับไป
ไม่ช้าไม่นาน...
เด็กน้อยคนหนึ่งได้เดินเข้ามา
เมื่อพบเทียนสามเล่มดับไป
เขาเริ่มร่ำไห้และหลั่งน้ำตา
"ทำไมพวกเธอถึงดับไป
พวกเธอต้องสว่างไสวตราบนิรันดร์ไม่ใช่หรือ"
ทันใด เทียนเล่มที่สี่
กระซิบอย่างแผ่วเบา
"อย่ากลัวไปเลยหนูน้อย
ตัวฉันนี้คือ ความหวัง
ตราบใดที่ฉันยังส่องสว่างอยู่ได้
เทียนสามเล่มนั้น จะกลับมาไม่ช้านาน"
เด็กชายตัวน้อย
ตาเป็นประกายด้วยความปิติ
สองมือนั้นค่อยๆ
จุด "เทียนแห่งความหวัง"
พร้อมกันกับเทียนอีกสามเล่ม
อย่าปล่อยให้ "แสงแห่งความหวัง"
ในชีวิตเราดับไป
ไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายหรือแย่สักแค่ไหน
เมื่อเรามี ความหวัง แล้วไซร้ . . .
สันติภาพ ศรัทธา และ ความรัก
ก็จะส่องสว่างอยู่ในตัวเราเสมอ
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552
การสวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว(ไดโมขุ)
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ 1 ชม. คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณ
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ 2 ชม. คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้อื่น
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ 3 ชม. คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ 5 ชม. คุณจะได้พบกับความมหัศจรรย์ในชีวิตคุณ
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ หนึ่งล้านคำ คุณจะรับรู้ถึงบุญวาสนาของคุณ
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ เจ็ดล้านคำ พื้นฐานมนุษย์ของคุณจะเปลี่ยนไป
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ ยี่สิบล้านคำ ถึงแม้้ว่าคุณพยายามจะเดินหนี บุญวาสนาจะคอยติดตามคุณตลอดเวลา
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ เจ็ดสิบล้านคำ คุณก็จะได้เป็นราชาแห่งความศรัทธา"
A student from Soka High School (in Japan) asked President Ikeda the following question:
"What should I expect from chanting daimoku?''
Sensei replied:
"When you chant 1hour of daimoku, you will see changes in yourself.
When you chant 2hours of daimoku, you will see changes in other people.
When you chant 3hours of daimoku, you will see changes in your environment.
When you chant 5hours of daimoku, you will experience miracles in your life.
When you chant one million daimoku, you can feel your fortune.
When you chant 7million daimoku, your foundation as human being will change.
When you chant 20million daimoku, even though you try to escape from it, fortune will continue to follow you.
When you chant 70million daimoku, you can become the king of faith."
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ 2 ชม. คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้อื่น
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ 3 ชม. คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ 5 ชม. คุณจะได้พบกับความมหัศจรรย์ในชีวิตคุณ
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ หนึ่งล้านคำ คุณจะรับรู้ถึงบุญวาสนาของคุณ
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ เจ็ดล้านคำ พื้นฐานมนุษย์ของคุณจะเปลี่ยนไป
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ ยี่สิบล้านคำ ถึงแม้้ว่าคุณพยายามจะเดินหนี บุญวาสนาจะคอยติดตามคุณตลอดเวลา
เมื่อคุณได้สวดไดโมขุ เจ็ดสิบล้านคำ คุณก็จะได้เป็นราชาแห่งความศรัทธา"
A student from Soka High School (in Japan) asked President Ikeda the following question:
"What should I expect from chanting daimoku?''
Sensei replied:
"When you chant 1hour of daimoku, you will see changes in yourself.
When you chant 2hours of daimoku, you will see changes in other people.
When you chant 3hours of daimoku, you will see changes in your environment.
When you chant 5hours of daimoku, you will experience miracles in your life.
When you chant one million daimoku, you can feel your fortune.
When you chant 7million daimoku, your foundation as human being will change.
When you chant 20million daimoku, even though you try to escape from it, fortune will continue to follow you.
When you chant 70million daimoku, you can become the king of faith."
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ปฏิบัติศรัทธาเพื่ออะไร
เราปฎิบัติศรัทธาเพื่ออะไร
จุดประสงค์ของการปฏิบัติพุทธธรรม ของเราก็คือ เพื่อให้สามารถมีชีวิตที่มีความมั่นใจและมีความงามสง่า ดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ท่านปรารถนาและมีชัยชนะเหนือความท้าทายทั้งปวง หรือสรุปง่าย ๆ ก็คือ เพื่อว่า เราจะได้มีการดำเนินชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง และสามารถผ่านพ้นความทุกข์ไปได้
แล้วอะไรคือ ความสุขที่แท้จริงในชีวิต ? อาจารย์อิเคดะกล่าวว่า “มนุษย์เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรดี ? การดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าที่สุดนั้นเป็นอย่างไร ? การมีทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากไม่สามารถรับประกันได้ว่าเราจะได้พบกับความสุข การเป็นบุคคลสำคัญและประสบความสำเร็จทางสังคม ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุข เงินทอง สถานภาพทางสังคม หรือชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เพียงความสุขชั่วคราว และล้วนแต่เป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น หรือแม้จะมีคู่รักที่รักกันมากแต่ก็ต้องพลัดพรากจากกัน ทำให้เกิดความทุกข์ ก็มีให้เห็นมากมาย หรือแม้จะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ก็มีไม่น้อยที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคร้าย และมีชีวิตอยู่อย่างลำเค็ญ เหล่านี้คือปัญหารากฐานของชีวิต ถ้าเช่นนี้น เราจะค้นพบความสุขได้จากที่ใดในโลกนี้ ก็ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน และด้วยความศรัทธาในธรรมมหัศจรรย์เท่านั้น เราจึงจะสามารถสร้างสภาวะแห่งความสุขที่แท้จริงและเป็นนิรันดร์ในหนึ่งชั่วชีวิตของเราได้ ความสุขคือสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาภายในจิตใจของเราเอง
พระนิชิเร็นไดโชนินได้เปิดเผยถึงทางออกของปัญหาสุดยอดของมนุษย์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านได้สอนให้เราเอาชนะต่ออดีตกรรม และสร้างสภาพชีวิตที่มีความสุขที่ไม่อาจทำลายได้ภายในชีวิตของเรา ด้วยการสวด นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว ต่อโงะฮนซน ท่านเขียนไว้ว่า “นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว ที่อาตมานิชิเร็นสวดอยู่ในขณะนี้ จะทำให้สรรพสัตว์ในหนึ่งหมื่นปีแห่งสมัยธรรมปลาย บรรลุพุทธภาวะได้” โดยนำหลักธรรมมาแสดงให้ปวงชนได้เห็นเป็นรูปธรรมขึ้น ทั้งนี้เพื่อใช้เป็น “เครื่องมือ” ให้ทุกคนมีความสุข อาจารย์โทดะเคยอธิบายเปรียบเทียบให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ว่า โงะฮนซนที่แสดงขึ้น โดยพระนิชิเร็นไดโชนินก็คือ “เครื่องมือผลิตความสุข” ที่มอบให้แก่มนุษยชาติทั่วโลก ธรรมมหัศจรรย์นั้น ทำให้เราสามารถดึงเอาสภาวะพุทธะออกมาจากส่วนลึกของชีวิตเราได้ ซึ่งเป็นสภาพชีวิตที่มีความกล้าหาญและเข้มแข็งที่สุด พระพุทธะนั้นไม่ต้องเผชิญกับชะตากรรมแห่งความทุกข์ หรือความพ่ายแพ้ ผู้ที่ยึดถือธรรมมหัศจรรย์นั้นสามารถเปลี่ยนความยากลำบากทั้งหลายให้กลายเป็นสิ่งที่ดีได้ หรือเปลี่ยนพิษให้เป็นยาได้ไม่ว่าเขาจะอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์ของเขาหรือความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญอยู่จะเป็นรูปแบบใดก็ตาม
พุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน เป็นคำสอนที่เปิดหนทางให้มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมในระดับที่ลึกซึ้งที่สุด เปิดเผยหนทางชีวิตที่สมบูรณ์สูงสุดชั่วนิรันดร์ที่ทำให้ชีวิตมนุษย์บรรลุถึงความพึงพอใจสูงส่ง โดยไม่ต้องเสแสร้ง นี่คือชีวิตที่สูงส่งบนรากฐานคำสอนที่ไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่านี้อีกแล้ว
พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวถึงเรื่องของผู้ที่เชื่อและรับโงะฮนซนพร้อมกับบากบั่นในการปฎิบัติจะสามารถดำเนินชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุขและบุญกุศลอย่างแน่นอน ดังข้อความที่กล่าวว่า
“จงศรัทธาต่อมันดาละนี้ให้ดี นัมเมียวโฮเร็งเงเคียวอุปมาดังเสียงคำรามของราชสีห์ ความเจ็บป่วยใด ๆ ก็หาได้เป็นอุปสรรคไม่ จะเห็นว่านางยักษ์หาริตีและนางรากษสทั้งสิบ ได้ให้การปกป้องคุ้มครองผู้ที่ยึดมั่นต่อไดโมขุแห่งสัทธรรมปุณฑริกสูตรให้มีความสุขดังราคะราชา และมีบุญวาสนาดังท้าวกุเวร จะเที่ยวเล่นไปยังแห่งหนใด ก็ไม่มีภยันตราย ดังเช่นราชสีห์ที่เดินท่องไปโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด”
อาจารย์อิเคดะกล่าวว่า “ความศรัทธาในธรรมมหัศจรรย์ ทำให้เรามีพลังชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่เราต้องการเพื่อที่เราจะได้มีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็ง และมีความมั่นใจในแต่ละวัน ซึ่งจะทำให้เราสามารถเอาชนะต่ออุปสรรคและความยากลำบากต่าง ๆ ที่เราต้องประสบพบพาน การศรัทธาในธรรมมหัศจรรย์ยังเป็นพลังขับดันที่จะช่วยให้เราสามารถสร้างคุณค่าอย่างสูงสุดเพื่อตัวเราเองและเพื่อผู้อื่นได้ด้วย นี่คือเหตุผลที่เรามาปฎิบัติศรัทธาในพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน
ผู้ที่ยึดถือความศรัทธาในโงะฮนซนและผู้ที่ท้าทายตัวเองในการปฎิบัติพุทธธรรม ในขณะที่เพียรพยายามสอนผู้อื่นเกี่ยวกับพุทธธรรมนั้น จะสามารถแปรเปลี่ยน นรกไปสู่ดินแดนแห่งแสงสว่างและสันติได้ นี่คือคำสัญญาของพระนิชิเร็นไดโชนินต่อพวกเรา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากที่ขมขื่นเพียงใดที่เราเผชิญหน้าอยู่ หากพวกเรายังคงสวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว และอุทิศชีวิตของเราเพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาลแล้ว พวกเราก็จะสามารถแปรเปลี่ยน โชคร้ายทั้งหลายสู่สิ่งที่เป็นด้านบวก เปลี่ยนพิษให้เป็นยาและเข้าสู่สภาพชีวิตที่กว้างใหญ่ ที่ขจรขจายด้วยความสุขที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบปานได้ จงกำหนดตนเองไม่ให้พ่ายแพ้ ไม่มีวันจนตรอก หากพวกท่านกระทำเช่นนี้ พวกท่านจะสามารถเข้าสู่การมีความสุขอันไม่มีขีดจำกัดได้ นี่คือแก่นแท้ของพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน
คำว่า “ความศรัทธา” ที่แท้จริง คือ การกระทำด้วยจิตใจ การท้าทายอย่างแข็งขันและแสวงหาหนทางที่จะเอาชนะความยากลำบากด้วยจิตใจ ที่ไม่คิดเสียดายเวลา ความสุขสบาย หรือแม้แต่ชีวิตของตนเอง เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาชีวิตไปในหนทางของความดีและการขัดเกลาความไม่ถูกต้องให้หมดไปจากชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือ “อย่าเป็นบุคคลที่ภายนอกดูเหมือนยึดถือความศรัทธา แต่เก็บความสงสัยอยู่ภายในจิตใจ และไม่เพียรพยายามในการปฏิบัติ” (ธรรมนิพนธ์หน้า 1181) นอกจากนั้น ขอให้ย้ำกับตัวเองทั้งกลางวันและกลางคืน ถึงคำสอนของ พระนิชิเร็นไดโชนิน ที่กล่าวว่า “จงอย่าใช้ชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์และมาเสียใจในอีกหมื่นปีข้างหน้า” และ “จงมุ่งมั่นด้วยความศรัทธาที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน”
ความศรัทธาต่อธรรมมหัศจรรย์จะมอบพลังในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นปึกแผ่นแก่เรา ทำให้เราสนุกสนาน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม เราจะต้องไม่ตกอยู่ในความหวาดกลัว เพราะในชีวิตมนุษย์นั้น หากมีภูเขาแล้ว ก็ย่อมมีหุบเหวอยู่ด้วย และถึงแม้จะอยู่ในเส้นทางเดียวกัน บุคคลที่มีพลังชีวิตที่เข้มแข็งนั้นจะเป็นผู้ก้าวเดินไปได้อย่างสบาย ๆ แต่หากมีพลังชีวิตที่อ่อนแอแล้ว จะเหนื่อยล้าอ่อนแรง มีแต่ความรู้สึกที่ทุกข์ระทมขมขื่นเท่านั้น ดังนั้น แม้ว่าผู้คนจะดูเราเป็นเช่นไร หรือพูดแบบไหน ก็ขอให้เพียรพยายามในความศรัทธาอย่างองอาจกล้าหาญ โดยตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ตัวเองจะต้องมีชีวิตอยู่จนถึงที่สุด โดยมีการสวดไดโมขุเป็นพื้นฐาน บุคคลเช่นนี้จึงจะเป็นผู้ที่มีความสุข
พระนิชิเร็นไดโชนินสอนเตือนอย่างเข้มงวด ให้พวกเราบากบั่นด้วยความศรัทธา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ด้วยเหตุใดหรือ ก็เพราะว่าความศรัทธาเท่านั้นที่จะเป็นกุญแจนำเราไปสู่ “การบรรลุพุทธภาพวะ” ได้นั่นเอง และท่านยังตักเตือนอีกว่า ผู้ที่วางตนอยู่บนพื้นฐานของความศรัทธาในโงะฮนซน ก็จะสามารถ ได้รับปัญญาของพระพุทธ และปราฎผลบุญกุศลของพระพุทธออกมาในชีวิตของตนเองได้ และได้รับการอาบแสงแห่งความหวังที่ไร้ขอบเขต และพลังที่ไม่มีขีดจำกัดก็จะพรั่งพรูออกมา นี่แหละคือวิถีชีวิตที่เข้มแข็งที่สุด และมั่นคงปลอดภัยที่สุด
สรุปแล้ว เมื่อพวกเราสวดมนต์ต่อธรรมมหัศจรรย์ และทำงานอย่างไมรู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาลแล้ว พวกเราก็จะสามารถปรากฎชีวิตพระพุทธ ภายในชีวิตเราได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งแสดงออกถึงชัยชนะอันเด็ดขาดสมบูรณ์ของเรา เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเรารักษาความศรัทธาที่เข้มแข็งให้คงอยู่ตลอดชั่วชีวิตของเราแล้ว พวกเราก็จะไม่มีวันพ่ายแพ้ อันที่จริงแล้ว พวกเราจะต้องไม่ยอมให้ตัวเราพ่ายแพ้ การปฏิบัติพุทธธรรมของพวกเราและกิจกรรมของเอสจีไอของพวกเรานั้น มีไว้เพื่อขัดเกลาและหล่อหลอมสภาพชีวิตพระพุทธที่มั่นคงและแข็งแกร่ง ดุจดังเพชร ภายในชีวิตของเราในชาตินี้นั่นเอง
ทุกคนสามารถพบกับความสุขที่แท้จริงได้โดยไม่มีข้อยกเว้น สมาคมแห่งการเผยแผ่ธรรมไพศาลของเราก่อตั้งขึ้นมา ก็เพื่อจุดประสงค์ข้อนี้ มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า บุคคลที่ยึดถือธรรมมหัศจรรย์นั้น ในบั้นปลายชีวิตจะไม่มีทางพบกับความทุกข์อย่างเด็ดขาด ความเชื่อมั่นอันมั่นคงเช่นนี้แหละ ที่จะเปิดสู่หนทางแห่งบุญวาสนาอันยิ่งใหญ่
ตัวอย่างประสบการณ์ของสมาชิกที่น่าประทับใจ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของครอบครัวได้ เธอชื่อ คุณชิเอโกะ ยามาชิตะ อาศัยอยู่ที่จังหวัดชิบะ เรื่องของเธอได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เซเคียว (คุณยามาชิตะ เป็นผู้ช่วยหัวหน้ารวมภาคหญิงของรวมภาคคามางาย่า ยูโกะ) เธอเป็นเจ้าของบริษัท ที่ดำเนินกิจการบริการรับฝากที่จอดรถจักรยาน ที่มีขนาดถึง 3,300 ตารางเมตร แต่พอถูกถามว่ามีอาชีพอะไร เธอก็มักจะถ่อมตน และตอบยิ้ม ๆ ว่า “ดิฉันเป็นแค่คุณยายแก่ ๆ รับฝากจอดรถจักรยานค่ะ” นอกจากนี้แล้ว เธอยังมีอาคารสมาคมที่เธอใฝ่ฝันอยากจะสร้างอาคารสมาคมส่วนบุคคลให้สำเร็จเป็นจริง ซึ่งอาจารย์ก็ได้กรุณาตั้งชื่ออาคารนี้ว่า อาคารสมาคมยามาชิตะ เออิโค (รุ่งโรจน์) เมื่อเธอได้รับตัวหนังสือที่เป็นลายมือของอาจารย์แล้ว ตอนแรก เธออ่านตัวอักษรคำว่า “อาคารสมาคม” เป็น “หอรัตนะ” เธอรู้สึกประทับใจมากกับชื่อที่อาจารย์ตั้งให้ จนสะอื้นออกมาด้วยความปีติยินดี และตื้นตันใจเป็นที่สุด
ด้านครอบครัว เธอแต่งงานเมื่อช่วงแห่งความสับสนวุ่นวายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง สามีเธอประสบกับความล้มเหลวทางธุรกิจ และหันไปหมกมุ่นกับการดื่มสุราและเล่นการพนัน ครอบครัวของเธอมีสี่ชีวิต ไม่มีที่อยู่อาศัย แต่ได้ที่บังแดดบังฝนตรงมุมห้องครัวของคนรู้จักคนหนึ่ง ตอนกลางวัน พวกเขาจะไปอยู่สวนหย่อมใกล้ๆ ลูกน้อยวัยแบเบาะของเธอก็คลานเล่นอยู่บนพื้นบริเวณนั้น ต่อมามีเพื่อนใจดีอีกคนหนึ่งช่วยเหลือให้เธอและครอบครัวได้ห้องเล็ก ๆ ในอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่ง แต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ยากจนข้นแค้น เมื่อถึงเวลาเตรียมอาหารเย็น เธอจะออกไปตลาดพร้อมกับเหรียญ 10 เยน สองเหรียญ เพื่อซื้อปลาซาดีนกับผักขม ราคาอย่างละ 10 เยน ที่มีคนกรุณาขายให้เวลาไปซื้อกับข้าว ลูกน้อยที่เธอแบกใส่หลังไปด้วย ก็จะร้องอยากกินขนม เธอต้องมองตามพื้นถนนของตลาดกลางแจ้งที่ผู้คนแน่นขนัด เพื่อหาเศษเหรียญที่คนทำตกอยู่บนพื้น ด้วยหวังว่าถ้ามีอีกแค่ 10 เยน ก็คงจะพอซื้อขนมให้ลูกได้บ้าง เธอบอกว่าไม่มีวันลืมความขมขื่น ที่ไม่มีเงินอีกแค่ 10 เยนเหลืออยู่ในมือ ได้เลย
เมื่อวัยเด็ก คุณยามาชิตะ เกิดในครอบครัวที่มีชื่อเสียง ที่คาโกชิมา บนเกาะคิวชิว แม้ดูเหมือนว่าไม่ได้ลำบากขาดแคลนอะไรตั้งแต่เด็ก แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของเธอมักมีปากเสียงกันเป็นประจำ ดังนั้นเธอก็ไม่อยากมีชีวิตคู่แบบนั้น จึงระมัดระวังกับการแต่งงานอย่างดีที่สุด แต่ทว่า เธอก็ต้องมาพบกับชะตากรรมเหมือนคุณแม่ เธอจึงทิ้งสามีและลูก ๆ ไป เพราะไม่สามารถดูแลเด็ก ๆ พร้อมกับทำงานไปด้วยได้ และเนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ของเธอเสียชีวิตภายหลังสงคราม จึงไม่สามารถพาลูกๆ ไปฝากได้ เธอจึงพาลูกชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก คนละที่กัน เมื่อหายกลุ้มใจกับเรื่องนี้ เธอก็ตัดสินใจไปรับลูก ๆ คืน แล้วกลับไปหาสามี แม้ว่าต้องอยู่กับความกลัวที่จะถูกทำร้ายทุบตีมากกว่าก่อนก็ตาม
คุณยามาชิตะเข้าเป็นสมาชิกสมาคมโซคาในปี ค.ศ. 1965 ขณะนั้นสามีของเธอยังตกงานอยู่ เธอต้องเลี้ยงดูเขาด้วยการขายประกันแบบเคาะประตูบ้าน สามีเธอเป็นสมาชิกสมาคมโซคาเพียงในนามเท่านั้น ซ้ำยังขัดขวางการปฏิบัติศรัทธาของเธออยู่ตลอดเป็นเวลานานมาก
ทุกคืน สามีจะทุบตีเธอด้วยข้าวของต่าง ๆ ที่คว้าได้ และสั่งให้เธอออกจากสมาคมโซคา ยามที่เขาเมา ก็จะด่าทอเกี่ยวกับการศรัทธาตลอดเวลา ครั้งหนึ่ง เขาใช้ขวานจามตู้พระ แล้วเอาน้ำมันก๊าด ราดใส่ไม้แล้วจุดไฟ เธอกอดโงะฮนซนไว้กับอก และวิ่งเท้าเปล่าออกนอกบ้าน เธอถูกปล่อยให้อยู่นอกบ้านทั้งคืน แต่เธอก็สวดไดโมขุจนรุ่งเช้า
เมื่อไปเล่าเรื่องราวให้ผู้อาวุโสฟังด้วยน้ำตา เธอก็ได้รับคำชี้นำที่อบอุ่นแต่เข้มงวดว่า “คุณควรจะดีใจว่า ทุกครั้งที่คุณเผชิญกับการถูกต่อต้านขัดขวางความศรัทธา คุณก็จะสามารถชำระสะสางชะตากรรมไปได้ทีละส่วน ๆ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณต้องชักชวนแนะนำธรรมต่อไปนะค่ะ”
ในที่สุด สามีของเธอก็ได้งานทำ เป็นผู้รับเหมาช่วง ของบริษัทกระจกที่ใหญ่แห่งหนึ่ง แต่เขาก็จับจ่ายเงินเดือนอย่างสุรุ่ยสุร่าย พวกเขาจึงยังมีชีวิตที่ยากจนอยู่
ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณยามาชิตะ ใช้จ่ายอย่างประหยัด เธอเก็บเงินเพราะหวังไว้ว่า วันหนึ่งจะมีบ้านสักหลัง แต่เมื่อเธอสะสมเงินได้ สี่ล้านเยน ด้วยความดีใจ เธอเอาสมุดบัญชีไปให้สามีดู เขากลับแย่งชิงไป และนำไปเล่นการพนันจนหมดตัว เธอเกลียดสามี และคิดเพียงอย่างเดียว คือต้องหย่า แต่ผู้อาวุโสให้คำชี้นำกับเธอว่า “คุณเอาแต่โทษว่า ชีวิตคุณไม่มีความสุขเพราะสามี ถ้าตัวคุณเองยังไม่เปลี่ยน คุณก็จะสะสมบุญวาสนาไม่ได้เช่นกัน” พอได้ยินเช่นนี้ เธอจึงตัดสินใจใหม่ทันที ธรรมนิพนธ์มีกล่าวไว้ว่า “พุทธธรรมคือตัวตน สังคมคือเงา หากตัวตนเอียง เงาก็เอียงตาม” (ธรรมนิพนธ์ฉบับภาษาอังกฤษ หน้า 1039) เธอจึงตั้งใจว่าจะหยุดโอนเอนไปตามความดีใจและความเสียใจทั้งหลาย อันเนื่องมาจากความสับสนวุ่นวายในชีวิต และจะหยุดบ่นเรื่องสามี เพราะสิ่งนี้เป็นชะตากรรมของตัวเอง ต้องเอาชนะให้ได้ด้วยตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น แต่ขึ้นอยู่กับสภาพชีวิตของตัวเอง
ดังนั้นจึงต้องมีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งในหลักธรรมของตัวตนกับสิ่งแวดล้อมไม่เป็นสอง เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา คือสิ่งที่ทำให้เราสามารถบรรลุพุทธภาวะในหนึ่งชั่วชีวิตได้ ปัญหาทั้งหมดก็จะแก้ไขได้ ในทางกลับกัน ยิ่งเราบ่นหรือโทษคนอื่นมากเท่าใด การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเราก็จะยิ่งล่าช้าออกไปเท่านั้น ถ้าเราอธิษฐานต่อโงะฮนซนท่ามกลางความทุกข์และความเศร้าโศกเสียใจทั้งหลาย ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่า “นี่คือชะตากรรมของฉันเอง นี่คือชีวิตของฉันเอง ฉันจะปฏิวัติชีวิตมนุษย์ของฉันเองให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก” เช่นนี้แล้ว หนทางข้างหน้าก็จะเปิดออกอย่างแน่นอน
จุดประสงค์ของการปฏิบัติพุทธธรรม ของเราก็คือ เพื่อให้สามารถมีชีวิตที่มีความมั่นใจและมีความงามสง่า ดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ท่านปรารถนาและมีชัยชนะเหนือความท้าทายทั้งปวง หรือสรุปง่าย ๆ ก็คือ เพื่อว่า เราจะได้มีการดำเนินชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง และสามารถผ่านพ้นความทุกข์ไปได้
แล้วอะไรคือ ความสุขที่แท้จริงในชีวิต ? อาจารย์อิเคดะกล่าวว่า “มนุษย์เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรดี ? การดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าที่สุดนั้นเป็นอย่างไร ? การมีทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากไม่สามารถรับประกันได้ว่าเราจะได้พบกับความสุข การเป็นบุคคลสำคัญและประสบความสำเร็จทางสังคม ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุข เงินทอง สถานภาพทางสังคม หรือชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เพียงความสุขชั่วคราว และล้วนแต่เป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น หรือแม้จะมีคู่รักที่รักกันมากแต่ก็ต้องพลัดพรากจากกัน ทำให้เกิดความทุกข์ ก็มีให้เห็นมากมาย หรือแม้จะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ก็มีไม่น้อยที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคร้าย และมีชีวิตอยู่อย่างลำเค็ญ เหล่านี้คือปัญหารากฐานของชีวิต ถ้าเช่นนี้น เราจะค้นพบความสุขได้จากที่ใดในโลกนี้ ก็ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน และด้วยความศรัทธาในธรรมมหัศจรรย์เท่านั้น เราจึงจะสามารถสร้างสภาวะแห่งความสุขที่แท้จริงและเป็นนิรันดร์ในหนึ่งชั่วชีวิตของเราได้ ความสุขคือสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาภายในจิตใจของเราเอง
พระนิชิเร็นไดโชนินได้เปิดเผยถึงทางออกของปัญหาสุดยอดของมนุษย์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านได้สอนให้เราเอาชนะต่ออดีตกรรม และสร้างสภาพชีวิตที่มีความสุขที่ไม่อาจทำลายได้ภายในชีวิตของเรา ด้วยการสวด นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว ต่อโงะฮนซน ท่านเขียนไว้ว่า “นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว ที่อาตมานิชิเร็นสวดอยู่ในขณะนี้ จะทำให้สรรพสัตว์ในหนึ่งหมื่นปีแห่งสมัยธรรมปลาย บรรลุพุทธภาวะได้” โดยนำหลักธรรมมาแสดงให้ปวงชนได้เห็นเป็นรูปธรรมขึ้น ทั้งนี้เพื่อใช้เป็น “เครื่องมือ” ให้ทุกคนมีความสุข อาจารย์โทดะเคยอธิบายเปรียบเทียบให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ว่า โงะฮนซนที่แสดงขึ้น โดยพระนิชิเร็นไดโชนินก็คือ “เครื่องมือผลิตความสุข” ที่มอบให้แก่มนุษยชาติทั่วโลก ธรรมมหัศจรรย์นั้น ทำให้เราสามารถดึงเอาสภาวะพุทธะออกมาจากส่วนลึกของชีวิตเราได้ ซึ่งเป็นสภาพชีวิตที่มีความกล้าหาญและเข้มแข็งที่สุด พระพุทธะนั้นไม่ต้องเผชิญกับชะตากรรมแห่งความทุกข์ หรือความพ่ายแพ้ ผู้ที่ยึดถือธรรมมหัศจรรย์นั้นสามารถเปลี่ยนความยากลำบากทั้งหลายให้กลายเป็นสิ่งที่ดีได้ หรือเปลี่ยนพิษให้เป็นยาได้ไม่ว่าเขาจะอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์ของเขาหรือความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญอยู่จะเป็นรูปแบบใดก็ตาม
พุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน เป็นคำสอนที่เปิดหนทางให้มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมในระดับที่ลึกซึ้งที่สุด เปิดเผยหนทางชีวิตที่สมบูรณ์สูงสุดชั่วนิรันดร์ที่ทำให้ชีวิตมนุษย์บรรลุถึงความพึงพอใจสูงส่ง โดยไม่ต้องเสแสร้ง นี่คือชีวิตที่สูงส่งบนรากฐานคำสอนที่ไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่านี้อีกแล้ว
พระนิชิเร็นไดโชนินกล่าวถึงเรื่องของผู้ที่เชื่อและรับโงะฮนซนพร้อมกับบากบั่นในการปฎิบัติจะสามารถดำเนินชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุขและบุญกุศลอย่างแน่นอน ดังข้อความที่กล่าวว่า
“จงศรัทธาต่อมันดาละนี้ให้ดี นัมเมียวโฮเร็งเงเคียวอุปมาดังเสียงคำรามของราชสีห์ ความเจ็บป่วยใด ๆ ก็หาได้เป็นอุปสรรคไม่ จะเห็นว่านางยักษ์หาริตีและนางรากษสทั้งสิบ ได้ให้การปกป้องคุ้มครองผู้ที่ยึดมั่นต่อไดโมขุแห่งสัทธรรมปุณฑริกสูตรให้มีความสุขดังราคะราชา และมีบุญวาสนาดังท้าวกุเวร จะเที่ยวเล่นไปยังแห่งหนใด ก็ไม่มีภยันตราย ดังเช่นราชสีห์ที่เดินท่องไปโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด”
อาจารย์อิเคดะกล่าวว่า “ความศรัทธาในธรรมมหัศจรรย์ ทำให้เรามีพลังชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่เราต้องการเพื่อที่เราจะได้มีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็ง และมีความมั่นใจในแต่ละวัน ซึ่งจะทำให้เราสามารถเอาชนะต่ออุปสรรคและความยากลำบากต่าง ๆ ที่เราต้องประสบพบพาน การศรัทธาในธรรมมหัศจรรย์ยังเป็นพลังขับดันที่จะช่วยให้เราสามารถสร้างคุณค่าอย่างสูงสุดเพื่อตัวเราเองและเพื่อผู้อื่นได้ด้วย นี่คือเหตุผลที่เรามาปฎิบัติศรัทธาในพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน
ผู้ที่ยึดถือความศรัทธาในโงะฮนซนและผู้ที่ท้าทายตัวเองในการปฎิบัติพุทธธรรม ในขณะที่เพียรพยายามสอนผู้อื่นเกี่ยวกับพุทธธรรมนั้น จะสามารถแปรเปลี่ยน นรกไปสู่ดินแดนแห่งแสงสว่างและสันติได้ นี่คือคำสัญญาของพระนิชิเร็นไดโชนินต่อพวกเรา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากที่ขมขื่นเพียงใดที่เราเผชิญหน้าอยู่ หากพวกเรายังคงสวดนัมเมียวโฮเร็งเงเคียว และอุทิศชีวิตของเราเพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาลแล้ว พวกเราก็จะสามารถแปรเปลี่ยน โชคร้ายทั้งหลายสู่สิ่งที่เป็นด้านบวก เปลี่ยนพิษให้เป็นยาและเข้าสู่สภาพชีวิตที่กว้างใหญ่ ที่ขจรขจายด้วยความสุขที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบปานได้ จงกำหนดตนเองไม่ให้พ่ายแพ้ ไม่มีวันจนตรอก หากพวกท่านกระทำเช่นนี้ พวกท่านจะสามารถเข้าสู่การมีความสุขอันไม่มีขีดจำกัดได้ นี่คือแก่นแท้ของพุทธธรรมของพระนิชิเร็นไดโชนิน
คำว่า “ความศรัทธา” ที่แท้จริง คือ การกระทำด้วยจิตใจ การท้าทายอย่างแข็งขันและแสวงหาหนทางที่จะเอาชนะความยากลำบากด้วยจิตใจ ที่ไม่คิดเสียดายเวลา ความสุขสบาย หรือแม้แต่ชีวิตของตนเอง เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาชีวิตไปในหนทางของความดีและการขัดเกลาความไม่ถูกต้องให้หมดไปจากชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือ “อย่าเป็นบุคคลที่ภายนอกดูเหมือนยึดถือความศรัทธา แต่เก็บความสงสัยอยู่ภายในจิตใจ และไม่เพียรพยายามในการปฏิบัติ” (ธรรมนิพนธ์หน้า 1181) นอกจากนั้น ขอให้ย้ำกับตัวเองทั้งกลางวันและกลางคืน ถึงคำสอนของ พระนิชิเร็นไดโชนิน ที่กล่าวว่า “จงอย่าใช้ชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์และมาเสียใจในอีกหมื่นปีข้างหน้า” และ “จงมุ่งมั่นด้วยความศรัทธาที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน”
ความศรัทธาต่อธรรมมหัศจรรย์จะมอบพลังในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นปึกแผ่นแก่เรา ทำให้เราสนุกสนาน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม เราจะต้องไม่ตกอยู่ในความหวาดกลัว เพราะในชีวิตมนุษย์นั้น หากมีภูเขาแล้ว ก็ย่อมมีหุบเหวอยู่ด้วย และถึงแม้จะอยู่ในเส้นทางเดียวกัน บุคคลที่มีพลังชีวิตที่เข้มแข็งนั้นจะเป็นผู้ก้าวเดินไปได้อย่างสบาย ๆ แต่หากมีพลังชีวิตที่อ่อนแอแล้ว จะเหนื่อยล้าอ่อนแรง มีแต่ความรู้สึกที่ทุกข์ระทมขมขื่นเท่านั้น ดังนั้น แม้ว่าผู้คนจะดูเราเป็นเช่นไร หรือพูดแบบไหน ก็ขอให้เพียรพยายามในความศรัทธาอย่างองอาจกล้าหาญ โดยตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ตัวเองจะต้องมีชีวิตอยู่จนถึงที่สุด โดยมีการสวดไดโมขุเป็นพื้นฐาน บุคคลเช่นนี้จึงจะเป็นผู้ที่มีความสุข
พระนิชิเร็นไดโชนินสอนเตือนอย่างเข้มงวด ให้พวกเราบากบั่นด้วยความศรัทธา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ด้วยเหตุใดหรือ ก็เพราะว่าความศรัทธาเท่านั้นที่จะเป็นกุญแจนำเราไปสู่ “การบรรลุพุทธภาพวะ” ได้นั่นเอง และท่านยังตักเตือนอีกว่า ผู้ที่วางตนอยู่บนพื้นฐานของความศรัทธาในโงะฮนซน ก็จะสามารถ ได้รับปัญญาของพระพุทธ และปราฎผลบุญกุศลของพระพุทธออกมาในชีวิตของตนเองได้ และได้รับการอาบแสงแห่งความหวังที่ไร้ขอบเขต และพลังที่ไม่มีขีดจำกัดก็จะพรั่งพรูออกมา นี่แหละคือวิถีชีวิตที่เข้มแข็งที่สุด และมั่นคงปลอดภัยที่สุด
สรุปแล้ว เมื่อพวกเราสวดมนต์ต่อธรรมมหัศจรรย์ และทำงานอย่างไมรู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อการเผยแผ่ธรรมไพศาลแล้ว พวกเราก็จะสามารถปรากฎชีวิตพระพุทธ ภายในชีวิตเราได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งแสดงออกถึงชัยชนะอันเด็ดขาดสมบูรณ์ของเรา เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเรารักษาความศรัทธาที่เข้มแข็งให้คงอยู่ตลอดชั่วชีวิตของเราแล้ว พวกเราก็จะไม่มีวันพ่ายแพ้ อันที่จริงแล้ว พวกเราจะต้องไม่ยอมให้ตัวเราพ่ายแพ้ การปฏิบัติพุทธธรรมของพวกเราและกิจกรรมของเอสจีไอของพวกเรานั้น มีไว้เพื่อขัดเกลาและหล่อหลอมสภาพชีวิตพระพุทธที่มั่นคงและแข็งแกร่ง ดุจดังเพชร ภายในชีวิตของเราในชาตินี้นั่นเอง
ทุกคนสามารถพบกับความสุขที่แท้จริงได้โดยไม่มีข้อยกเว้น สมาคมแห่งการเผยแผ่ธรรมไพศาลของเราก่อตั้งขึ้นมา ก็เพื่อจุดประสงค์ข้อนี้ มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า บุคคลที่ยึดถือธรรมมหัศจรรย์นั้น ในบั้นปลายชีวิตจะไม่มีทางพบกับความทุกข์อย่างเด็ดขาด ความเชื่อมั่นอันมั่นคงเช่นนี้แหละ ที่จะเปิดสู่หนทางแห่งบุญวาสนาอันยิ่งใหญ่
ตัวอย่างประสบการณ์ของสมาชิกที่น่าประทับใจ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของครอบครัวได้ เธอชื่อ คุณชิเอโกะ ยามาชิตะ อาศัยอยู่ที่จังหวัดชิบะ เรื่องของเธอได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เซเคียว (คุณยามาชิตะ เป็นผู้ช่วยหัวหน้ารวมภาคหญิงของรวมภาคคามางาย่า ยูโกะ) เธอเป็นเจ้าของบริษัท ที่ดำเนินกิจการบริการรับฝากที่จอดรถจักรยาน ที่มีขนาดถึง 3,300 ตารางเมตร แต่พอถูกถามว่ามีอาชีพอะไร เธอก็มักจะถ่อมตน และตอบยิ้ม ๆ ว่า “ดิฉันเป็นแค่คุณยายแก่ ๆ รับฝากจอดรถจักรยานค่ะ” นอกจากนี้แล้ว เธอยังมีอาคารสมาคมที่เธอใฝ่ฝันอยากจะสร้างอาคารสมาคมส่วนบุคคลให้สำเร็จเป็นจริง ซึ่งอาจารย์ก็ได้กรุณาตั้งชื่ออาคารนี้ว่า อาคารสมาคมยามาชิตะ เออิโค (รุ่งโรจน์) เมื่อเธอได้รับตัวหนังสือที่เป็นลายมือของอาจารย์แล้ว ตอนแรก เธออ่านตัวอักษรคำว่า “อาคารสมาคม” เป็น “หอรัตนะ” เธอรู้สึกประทับใจมากกับชื่อที่อาจารย์ตั้งให้ จนสะอื้นออกมาด้วยความปีติยินดี และตื้นตันใจเป็นที่สุด
ด้านครอบครัว เธอแต่งงานเมื่อช่วงแห่งความสับสนวุ่นวายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง สามีเธอประสบกับความล้มเหลวทางธุรกิจ และหันไปหมกมุ่นกับการดื่มสุราและเล่นการพนัน ครอบครัวของเธอมีสี่ชีวิต ไม่มีที่อยู่อาศัย แต่ได้ที่บังแดดบังฝนตรงมุมห้องครัวของคนรู้จักคนหนึ่ง ตอนกลางวัน พวกเขาจะไปอยู่สวนหย่อมใกล้ๆ ลูกน้อยวัยแบเบาะของเธอก็คลานเล่นอยู่บนพื้นบริเวณนั้น ต่อมามีเพื่อนใจดีอีกคนหนึ่งช่วยเหลือให้เธอและครอบครัวได้ห้องเล็ก ๆ ในอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่ง แต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ยากจนข้นแค้น เมื่อถึงเวลาเตรียมอาหารเย็น เธอจะออกไปตลาดพร้อมกับเหรียญ 10 เยน สองเหรียญ เพื่อซื้อปลาซาดีนกับผักขม ราคาอย่างละ 10 เยน ที่มีคนกรุณาขายให้เวลาไปซื้อกับข้าว ลูกน้อยที่เธอแบกใส่หลังไปด้วย ก็จะร้องอยากกินขนม เธอต้องมองตามพื้นถนนของตลาดกลางแจ้งที่ผู้คนแน่นขนัด เพื่อหาเศษเหรียญที่คนทำตกอยู่บนพื้น ด้วยหวังว่าถ้ามีอีกแค่ 10 เยน ก็คงจะพอซื้อขนมให้ลูกได้บ้าง เธอบอกว่าไม่มีวันลืมความขมขื่น ที่ไม่มีเงินอีกแค่ 10 เยนเหลืออยู่ในมือ ได้เลย
เมื่อวัยเด็ก คุณยามาชิตะ เกิดในครอบครัวที่มีชื่อเสียง ที่คาโกชิมา บนเกาะคิวชิว แม้ดูเหมือนว่าไม่ได้ลำบากขาดแคลนอะไรตั้งแต่เด็ก แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของเธอมักมีปากเสียงกันเป็นประจำ ดังนั้นเธอก็ไม่อยากมีชีวิตคู่แบบนั้น จึงระมัดระวังกับการแต่งงานอย่างดีที่สุด แต่ทว่า เธอก็ต้องมาพบกับชะตากรรมเหมือนคุณแม่ เธอจึงทิ้งสามีและลูก ๆ ไป เพราะไม่สามารถดูแลเด็ก ๆ พร้อมกับทำงานไปด้วยได้ และเนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ของเธอเสียชีวิตภายหลังสงคราม จึงไม่สามารถพาลูกๆ ไปฝากได้ เธอจึงพาลูกชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก คนละที่กัน เมื่อหายกลุ้มใจกับเรื่องนี้ เธอก็ตัดสินใจไปรับลูก ๆ คืน แล้วกลับไปหาสามี แม้ว่าต้องอยู่กับความกลัวที่จะถูกทำร้ายทุบตีมากกว่าก่อนก็ตาม
คุณยามาชิตะเข้าเป็นสมาชิกสมาคมโซคาในปี ค.ศ. 1965 ขณะนั้นสามีของเธอยังตกงานอยู่ เธอต้องเลี้ยงดูเขาด้วยการขายประกันแบบเคาะประตูบ้าน สามีเธอเป็นสมาชิกสมาคมโซคาเพียงในนามเท่านั้น ซ้ำยังขัดขวางการปฏิบัติศรัทธาของเธออยู่ตลอดเป็นเวลานานมาก
ทุกคืน สามีจะทุบตีเธอด้วยข้าวของต่าง ๆ ที่คว้าได้ และสั่งให้เธอออกจากสมาคมโซคา ยามที่เขาเมา ก็จะด่าทอเกี่ยวกับการศรัทธาตลอดเวลา ครั้งหนึ่ง เขาใช้ขวานจามตู้พระ แล้วเอาน้ำมันก๊าด ราดใส่ไม้แล้วจุดไฟ เธอกอดโงะฮนซนไว้กับอก และวิ่งเท้าเปล่าออกนอกบ้าน เธอถูกปล่อยให้อยู่นอกบ้านทั้งคืน แต่เธอก็สวดไดโมขุจนรุ่งเช้า
เมื่อไปเล่าเรื่องราวให้ผู้อาวุโสฟังด้วยน้ำตา เธอก็ได้รับคำชี้นำที่อบอุ่นแต่เข้มงวดว่า “คุณควรจะดีใจว่า ทุกครั้งที่คุณเผชิญกับการถูกต่อต้านขัดขวางความศรัทธา คุณก็จะสามารถชำระสะสางชะตากรรมไปได้ทีละส่วน ๆ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณต้องชักชวนแนะนำธรรมต่อไปนะค่ะ”
ในที่สุด สามีของเธอก็ได้งานทำ เป็นผู้รับเหมาช่วง ของบริษัทกระจกที่ใหญ่แห่งหนึ่ง แต่เขาก็จับจ่ายเงินเดือนอย่างสุรุ่ยสุร่าย พวกเขาจึงยังมีชีวิตที่ยากจนอยู่
ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณยามาชิตะ ใช้จ่ายอย่างประหยัด เธอเก็บเงินเพราะหวังไว้ว่า วันหนึ่งจะมีบ้านสักหลัง แต่เมื่อเธอสะสมเงินได้ สี่ล้านเยน ด้วยความดีใจ เธอเอาสมุดบัญชีไปให้สามีดู เขากลับแย่งชิงไป และนำไปเล่นการพนันจนหมดตัว เธอเกลียดสามี และคิดเพียงอย่างเดียว คือต้องหย่า แต่ผู้อาวุโสให้คำชี้นำกับเธอว่า “คุณเอาแต่โทษว่า ชีวิตคุณไม่มีความสุขเพราะสามี ถ้าตัวคุณเองยังไม่เปลี่ยน คุณก็จะสะสมบุญวาสนาไม่ได้เช่นกัน” พอได้ยินเช่นนี้ เธอจึงตัดสินใจใหม่ทันที ธรรมนิพนธ์มีกล่าวไว้ว่า “พุทธธรรมคือตัวตน สังคมคือเงา หากตัวตนเอียง เงาก็เอียงตาม” (ธรรมนิพนธ์ฉบับภาษาอังกฤษ หน้า 1039) เธอจึงตั้งใจว่าจะหยุดโอนเอนไปตามความดีใจและความเสียใจทั้งหลาย อันเนื่องมาจากความสับสนวุ่นวายในชีวิต และจะหยุดบ่นเรื่องสามี เพราะสิ่งนี้เป็นชะตากรรมของตัวเอง ต้องเอาชนะให้ได้ด้วยตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น แต่ขึ้นอยู่กับสภาพชีวิตของตัวเอง
ดังนั้นจึงต้องมีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งในหลักธรรมของตัวตนกับสิ่งแวดล้อมไม่เป็นสอง เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา คือสิ่งที่ทำให้เราสามารถบรรลุพุทธภาวะในหนึ่งชั่วชีวิตได้ ปัญหาทั้งหมดก็จะแก้ไขได้ ในทางกลับกัน ยิ่งเราบ่นหรือโทษคนอื่นมากเท่าใด การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเราก็จะยิ่งล่าช้าออกไปเท่านั้น ถ้าเราอธิษฐานต่อโงะฮนซนท่ามกลางความทุกข์และความเศร้าโศกเสียใจทั้งหลาย ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่า “นี่คือชะตากรรมของฉันเอง นี่คือชีวิตของฉันเอง ฉันจะปฏิวัติชีวิตมนุษย์ของฉันเองให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก” เช่นนี้แล้ว หนทางข้างหน้าก็จะเปิดออกอย่างแน่นอน
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)